Page 116 - รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่ 3 (วันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 ถึง 25 พฤษภาคม 2564)
P. 116
ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจ�าเลยถูกคุมขัง
ในชั้นของพนักงานสอบสวนได้มีค�าสั่งส�านักงานต�ารวจ ระหว่างพิจารณา ได้มีการออกระเบียบภายในหน่วยงาน
แห่งชาติ ที่ ๔๑๙/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ มาควบคุมการด�าเนินการของเจ้าหน้าที่ แต่การด�าเนินคดี
เรื่อง การอ�านวยความยุติธรรมในคดีอาญา การท�าส�านวน ไม่อาจที่จะก�าหนดระยะเวลาที่แน่นอนตายตัวได้เหมือนกัน
การสอบสวนและมาตรการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการ ในทุกคดี เนื่องจากข้อเท็จจริงและความยุ่งยากในแต่ละคดี
สอบสวนคดีอาญา ก�าหนดระยะเวลาการสอบสวนในกรณี มีความแตกต่างกัน ดังนั้น ปัจจัยส�าคัญที่จะท�าให้ผู้ต้องหา
ที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัว หรือถูกผัดฟ้อง หรือถูกผัดฟ้อง หรือจ�าเลยไม่ถูกคุมขังเกินกว่าโทษตามค�าพิพากษา คือ
ฝากขัง หรือฝากขังในระหว่างการสอบสวน โดยให้พนักงาน การได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ
สอบสวนผู้รับผิดชอบและผู้บังคับบัญชาเร่งรัดพนักงาน สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยผู้ต้องหาหรือจ�าเลยยังคง
รายงานผลการดำาเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่ ๓
สอบสวนเพื่อให้การสอบสวนเสร็จสิ้นไปก่อนที่จะครบ มีอิสรภาพอยู่ตราบเท่าที่ศาลยังไม่มีค�าพิพากษาถึงที่สุด
อ�านาจผัดฟ้อง หรือฝากขัง ตามที่กฎหมายได้ให้อ�านาจไว้ ว่ากระท�าความผิดจริง
ส่วนในชั้นการพิจารณาของศาลมีการก�าหนดแนว ๔. ประเด็นการเยียวยาการคุมขังเกินกว่าโทษตาม
ปฏิบัติเพื่อให้มีการพิจารณาคดีที่รวดเร็ว โดยใช้ระบบ ค�าพิพากษา
๒๗
สำ�นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ
การพิจารณาครบองค์คณะและต่อเนื่อง และมีการก�าหนด หลักการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ท�าให้ผู้ต้องหา
ระยะเวลาในการพิจารณาพิพากษา เช่น คดีจัดการพิเศษ หรือจ�าเลยมีสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และหาก
คือ คดีที่ไม่ยุ่งยาก สามารถจัดการได้เสร็จภายในนัดเดียว ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก็ต้องได้รับการพิจารณาคดี
ต้องแล้วเสร็จภายใน ๖ เดือนนับแต่วันฟ้อง เป็นต้น โดยไม่ชักช้า แต่หากเป็นการด�าเนินกระบวนการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม อาจเกิดกรณีที่กระบวนการล่าช้าออกไป ของรัฐจนเกิดกรณีคุมขังเกินกว่าโทษตามค�าพิพากษา
หากเมื่อถึงวันนัดสืบพยานมีการเลื่อนคดีโดยตัวจ�าเลย ถือเป็นการด�าเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มีผล
พยานโจทก์ พยานจ�าเลย อัยการ เป็นต้น ท�าให้ศาล เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่ถูกควบคุม
ต้องก�าหนดวันนัดสืบพยานเพิ่มเติมโดยเรียงล�าดับวัน ตัวในเรือนจ�า สูญเสียอิสรภาพเกินกว่าโทษที่ตนได้รับ
นัดสืบพยานต่อจากคดีอื่น ๆ ตามกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการ
ยุติธรรม รัฐจึงสมควรที่จะมีการเยียวยาความเสียหาย
เมื่อพิจารณาสถิติคดีอาญา (ประเภทคดีอาญา) ในปี ที่เกิดจากการถูกคุมขังเกินกว่าโทษตามค�าพิพากษา
๒๕๕๕ ถึง ๒๕๕๘ ปรากฏว่า ระยะเวลาในการพิจารณา โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้ คือ
ส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน ๑ เดือน มีปริมาณคดี พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและ
ประมาณ ๔๕๐,๐๐๐ ถึง ๕๐๐,๐๐๐ คดี และคดีที่ใช้ระยะ ค่าใช้จ่ายแก่จ�าเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งบัญญัติ
เวลาเกิน ๖ เดือนแต่ไม่เกิน ๑ ปี ประมาณ ๒๓,๓๐๐ คดี ขึ้นมารองรับสิทธิของจ�าเลยให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
และคดีที่ใช้ระยะเวลาในการพิจารณาเกิน ๑ ปี ประมาณ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔๕
๑๐,๐๐๐ คดี จะเห็นได้ว่าคดีที่ใช้ระยะเวลาในการ และมาตรา ๒๔๖ ในการได้รับค่าทดแทนในกรณีของ
พิจารณาเกิน ๑ ปี มีจ�านวนที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับ บุคคลซึ่งตกเป็นจ�าเลยในคดีอาญาและถูกคุมขังใน
ปริมาณคดีทั้งหมด ซึ่งการที่พิจารณาว่าเป็นกรณีที่มี ระหว่างพิจารณา หากปรากฏตามค�าพิพากษาอันถึงที่สุด
การพิจารณาที่ล่าช้าเกินความจ�าเป็นหรือไม่ จะต้อง ในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจ�าเลยมิได้เป็น
พิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ผู้กระท�าความผิดหรือการกระท�าของจ�าเลยไม่เป็น
๒๘
ความผิด ด้วยเหตุนี้ พระราชบัญญัติค่าตอบแทน
จะเห็นได้ว่าในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้มี ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จ�าเลย
ความพยายามที่จะก�าหนดระยะเวลาในการสอบสวนหรือ ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงมีข้อจ�ากัดอยู่ที่การเยียวยา
ในการพิจารณาให้มีความรวดเร็ว ไม่ล่าช้าเกินความจ�าเป็น เฉพาะกรณีที่ศาลตัดสินว่าจ�าเลยมิได้เป็นผู้กระท�าความผิด
๒๗ ข้อมูลจากหนังสือส�านักงานศาลยุติธรรม ที่ ศย ๐๑๕/๒๓๒๒๕ ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙.
๒๘ หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จ�าเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
114