Page 620 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 620

596


                         -ในระหว่างที่ยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายเฉพาะดังกล่าว มีข้อเสนอว่า การสื่อสารที่แสดงความ

                  เกลียดชังด้วยเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติต่างๆ เช่น รสนิยมทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ  จัดอยู่ในการ
                  กระท าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งอยู่ในอ านาจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่จะ

                  ตรวจสอบและเสนอมาตรการแก้ไขได้  อย่างไรก็ตาม มีปัญหาว่า แม้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนจะท าการ

                  ตรวจสอบพบว่าการกระท านั้นเป็นการสื่อสารที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติ แต่ก็
                  เป็นการยากที่จะก าหนดมาตรการแก้ไขโดยระบุให้ปฏิบัติตาม “กฎหมาย”  ในเรื่องใด เพราะยังไม่มี

                  กฎหมายเกี่ยวกับ “Hate  Speech”    โดยเฉพาะ   แต่กระนั้นก็ตาม ผู้วิจัยเห็นว่า คณะกรรมการสิทธิ
                  มนุษยชนแห่งชาติอาจเสนอแนะให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกระท าการด้วยความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของผู้

                  ได้รับผลกระทบจาก “Hate Speech”


                         ผู้วิจัยยังมีข้อเสนอแนะว่า  ในการก าหนดกฎหมายในส่วนของ Hate Speech   นั้นควรพิจารณา
                  ชั่งน้ าหนักระหว่างเสรีภาพในการสื่อสาร กับ การคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติ     ซึ่งหากพิจารณากฎหมาย

                  ต่างประเทศแล้ว ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า  กฎหมายสหรัฐอเมริกาจะให้น้ าหนักไปในทางการคุ้มครองเสรีภาพ

                  ในการสื่อสารมากกว่า ในขณะที่ ออสเตรเลีย ยุโรป แคนาดา ให้น้ าหนักไปในทางคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติ
                  โดยมีการก าหนดกฎหมายเกี่ยวกับ “Hate Speech” ไว้เฉพาะ   นอกจากนี้ควรพิจารณาน าปัจจัยอื่นๆมา

                  ประกอบเช่น  การแสดงการสื่อสารความเกลียดชังออกมาได้ อาจเป็นช่องทางที่บุคคลผู้มีความเกลียดชังได้
                  ปลดปล่อยหรือระบายความคับแค้นใจออกมา ซึ่งอาจลดโอกาสการกระท ารุนแรงต่อไป


                         ในระดับระหว่างประเทศ  มีข้อเสนอแนะให้ไทย ถอนข้อสงวนข้อ 4  ของอนุสัญญาว่าด้วยการ

                  ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (Convention on  the  Elimination of All  Forms  of
                  Racial Discrimination-CERD)อนุสัญญานี้ มีผลบังคับใช้กับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2546

                  แต่มีการตั้งข้อสงวนในข้อ 4  ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสื่อสารที่ท าให้เกิดความเกลียดชังในแง่ของเชื้อชาติ ทั้งนี้

                  เนื่องจากความส าคัญและความจ าเป็นในการตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการสื่อสารที่
                  ท าให้เกิดความเกลียดชังในด้านเชื้อชาติ  อย่างไรก็ตาม  อนุสัญญานี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “Hate Speech”

                  เฉพาะบางมิติ กล่าวคือ ในด้านของเชื้อชาติเท่านั้น   ในการตรากฎหมายเกี่ยวกับ “Hate  Speech”  ยัง
                  ต้องค านึงถึงเหตุอื่นๆนอกจากเชื้อชาติด้วย


                         (4) กรณีการคุกคาม (Harassment)


                         การกระท าอันเป็นการคุกคาม (Harassment)  ต่อบุคคลอื่นในที่สาธารณะ อันเกี่ยวข้องกับ “เหตุ

                  แห่งการเลือกปฏิบัติ”    จัดอยู่ในลักษณะของ “การได้รับการปฏิบัติที่ท าให้เกิดความพึงพอใจน้อยกว่าใน
                  การปฏิบัติต่อคนอื่นในที่สาธารณะ”   ซึ่งอยู่ในขอบเขตกฎหมายเกี่ยวกับการห้ามเลือกปฏิบัติด้วย  แต่ใน

                  ปัจจุบันไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะส าหรับการกระท าดังกล่าว  ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอดังต่อไปนี้


                         -ก าหนดกฎหมายเฉพาะในกรณีของ “Hate  Speech”  ให้มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับ
                  หลักการคุ้มครองเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน  โดยอาจมีสองแนวทางดังนี้
   615   616   617   618   619   620   621   622   623   624   625