Page 407 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 407

383


                   กลําวคือ ประวัติอาชญากรรมที่ต๎องห๎ามนั้นมีขอบเขตเฉพาะความผิดบางประการที่ระบุไว๎ อันเป็นความผิด

                   ที่อาจเกี่ยวข๎องกับการปฏิบัติหน๎าที่ในอนาคตตํอไปหรือกระทบตํอความนําเชื่อถือของการประกอบอาชีพ
                   รักษาความปลอดภัย โดยมิได๎วางหลักในลักษณะของ “ภาพเหมารวม” (Stereotype) วําความผิดอาญาทุก

                   อยํางเป็นคุณสมบัติ “ไมํเหมาะสมกับงานทุกประเภท”


                           ดังนั้นอาจสรุปได๎วํา แม๎หลัก “คุณสมบัติอันจําเป็นและเกี่ยวข๎องกับงาน” อาจมีการใช๎คําแตกตําง

                   กันไปตามกฎหมายแตํละประเทศ แตํสาระสําคัญก็คือ การนําประวัติอาชญากรรมมาประกอบการตัดสินใจ
                   เกี่ยวกับการจ๎างแรงงานทั้งในระดับของการตัดสินใจจ๎างหรือการตัดสินใจเกี่ยวกับเงื่อนไขในการทํางาน อาจ
                   ทําได๎โดยไมํถือวําเป็นการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน หากการกระทําเชํนนั้นมีเหตุผลสมควร
                   เนื่องจากมีความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข๎องระหวํางประวัติอาชญากรรม กับงานที่บุคคลนั้นประสงค์จะ
                   สมัครหรือทํางานอยูํ กลําวคือ คุณสมบัติเกี่ยวกับการมีอยูํหรือไมํมีอยูํของประวัติอาชญากรรมนั้นเป็น

                   คุณสมบัติที่สําคัญอันเกี่ยวกับงานนั้นโดยสุจริต (Good  faith  or  Bona  Fide  occupational
                   qualification) หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไมํได๎อยูํบนพื้นฐานของอคติหรือการสร๎างภาพเหมารวมซึ่งไมํเกี่ยวข๎อง
                   ใดๆ กับการทํางานนั้น หลักการพิจารณาเชํนนี้ทําให๎ไมํอาจสรุปเป็นการทั่วไป (Generalization) วําประวัติ

                   อาชญากรรมทุกกรณีมีความเกี่ยวข๎องกับการจ๎างแรงงาน เนื่องจากต๎องพิจารณาลักษณะความผิดของ
                   ประวัติอาชญากรรมอันหนึ่งและความสัมพันธ์กับงานหนึ่งเป็นกรณีไป จะเห็นได๎วําการพิจารณาเชํนนี้เป็น
                   แนวทางแก๎ปัญหาการสร้างภาพเหมารวม (Stereotype) ว่าประวัติอาชญากรรมทุกกรณีเป็นคุณสมบัติที่ไม่
                   เหมาะสมกับงานทุกประเภท อยํางไรก็ตามหลักการดังกลําวยังไมํปรากฏอยํางชัดเจนตามกฎหมายไทย ทํา

                   ให๎ยังมีปัญหาอันสรุปได๎สองประการหลักดังนี้

                            ประการแรก การกําหนด “ประวัติอาชญากรรม” ในฐานะเป็นคุณสมบัติที่จําเป็นสําหรับงานทั้งใน

                   ภาครัฐและเอกชน โดยไมํคํานึงถึงรายละเอียดวําการกระทําผิดตามประวัติดังกลําวเกี่ยวข๎องกับงานที่สมัคร
                   นั้นอยํางไร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ มิได๎วางหลักพิจารณาความสัมพันธ์ระหวํางประวัติอาชญากรรมกับงานเป็น
                   กรณีไป ทําให๎เกิดการสร๎างภาพเหมารวมในลักษณะที่วํา “ผู๎มีประวัติอาชญากรรมไมํเหมาะกับงานในทุก
                   ตําแหนํง” แม๎วําตามข๎อกําหนดคุณสมบัติในงานโดยทั่วไปแล๎วจะจํากัดเฉพาะ “โทษทางอาญาที่มิใชํ

                   ประมาทหรือลหุโทษ” แตํก็มิได๎วางหลักพิจารณาความสัมพันธ์ระหวํางโทษทางอาญานั้นกับงานเฉพาะ
                   ตําแหนํงซึ่งมีรายละเอียดแตกตํางกันไป


                            ประการที่สอง ไมํมีกฎหมายเฉพาะที่วางหลักการห๎ามเลือกปฏิบัติเพื่อคุ๎มครองกรณีที่
                   ผู๎ประกอบการภาคเอกชนนําประวัติอาชญากรรมมากําหนดคุณสมบัติหรือเป็นปัจจัยในการพิจารณา
                   เกี่ยวกับการจ๎างแรงงาน นอกจากนี้ ผู๎ประกอบการในภาคเอกชนอาจกําหนดขอบเขต “ประวัติ
                   อาชญากรรม” ในความหมายอยํางกว๎าง เชํน การนําเอาประวัติการถูกตั้งข๎อหาทางอาญาซึ่งศาลไมํได๎ตัดสิน

                   วํามีความผิด มาประกอบการพิจารณารับเข๎าทํางานหรือกําหนดเงื่อนไขการทํางานอื่นๆ รวมทั้ง
                   ผู๎ประกอบการอาจพิจารณาตัดสิน “อุปนิสัยหรือพฤติกรรม”  ของผู๎สมัครจาก “การมีอยูํ”  ซึ่งประวัติ
                   อาชญากรรมนั้น ดังเชํนกรณีตัวอยํางของออสเตรเลีย ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนออสเตรเลียเคย
   402   403   404   405   406   407   408   409   410   411   412