Page 45 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 45
๒) ลักษณะของสิทธิ และการด�าเนินมาตรการและการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นจริง จ�าแนกเป็น
๒.๑ สิทธิแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (non-derogable rights) ซึ่งมิอาจเพิกถอนหรือลิดรอนได้ ไม่ว่าจะอยู่ใน
สถานการณ์ใดก็ตาม เช่น สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน และในกรณีที่เป็นสิทธิที่รัฐอาจจ�ากัดหรือเพิกถอนได้ชั่วคราว
(derogable rights) ในบางสถานการณ์ที่กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศยินยอมให้รัฐกระท�าได้เพื่อวัตถุประสงค์
บางประการ ได้แก่ ความมั่นคงของชาติความสงบเรียบร้อย การสาธารณสุข หรือเพื่อศีลธรรม โดยรัฐต้องด�าเนินการตาม
แนวทางที่เป็นที่ยอมรับตามกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น มีการบัญญัติไว้เป็นกฎหมายที่ชัดเจน เป็นไปเพื่อเหตุผลที่ชอบธรรม
รัฐไม่สามารถหาวิธีการอื่นมาทดแทนได้ และการใช้อย่างจ�ากัดและเท่าที่จ�าเป็นได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์
และเป็นมาตรการจ�าเป็นในสังคมประชาธิปไตย เป็นต้น
๒.๒ สิทธิบางประเภทที่รัฐจะสามารถท�าให้ก้าวหน้าหรือเป็นจริงได้ โดยต้องด�าเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้
ทรัพยากรที่มีอยู่ (progressive realization of rights) ซึ่งรัฐจ�าเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและมีแนวทางการด�าเนินงาน
อย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ มีการก�าหนดให้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจน (progressive achievement) เช่น มีแผนการปฏิบัติงาน
ระยะเวลา ก�าลังบุคคลากร ผู้รับผิดชอบ และการติดตามผลการปฏิบัติอย่างแท้จริง มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอ/
เหมาะสม (maximum available resources) และไม่มีการเลือกปฏิบัติ (non-discrimination)
๒.๓ การด�าเนินมาตรการและการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นจริง จะต้องหลีกเลี่ยงการกระท�าที่ท�าให้
เกิดการเลือกปฏิบัติแบบซ�้าซ้อน (multiple discrimination) และค�านึงถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่างหลากหลาย ทับซ้อน และเชื่อมโยงกัน
(intersectionality) ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจาก (๑) ลักษณะทางชีวภาพหรือการถือก�าเนิด อาทิ เพศก�าเนิด (sex) ชาติพันธุ์
(ethnicity) เชื้อชาติ (race) สีผิว (color) อายุ (age) และความพิการ (disabilities) และ (๒) ลักษณะการรับรู้ หรือการให้
ความหมายในเชิงคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม อาทิ วิถีทางเพศ สถานะทางสังคมของความเป็นชาย-หญิง คุณวุฒิทางความรู้
อาชีพ หน้าที่การงาน และอื่น ๆ
๓) ความผูกพันทางกฎหมาย และหน้าที่ของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน จ�าแนกเป็น
๓.๑ รัฐในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ (duty-bearer) ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นภายในเขต
อ�านาจรัฐ (jurisdiction) รวมถึงการดูแลบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีสัญชาติของรัฐนั้น ๆ และการด�าเนินการที่มีผลกระทบต่อ
สิทธิมนุษยชนนอกเขตอ�านาจรัฐ โดยรัฐมีหน้าที่ใน ๓ ด้าน คือ
หน้าที่ในการเคารพ (Obligation to Respect) หน้าที่ในการท�าให้สิทธิเกิดผลในทางปฏิบัติในการจัดท�า
รัฐต้องไม่แทรกแซงการใช้สิทธิของประชาชน และ อ�านวยการให้เกิดขึ้นจริง (Obligation to Fulfill)
ไม่กระท�าการ หรือละเว้นการกระท�าใด ๆ ที่เป็นการ รัฐต้องด�าเนินการเชิงรุก (positive steps) ในการ
กระท�าละเมิดสิทธิมนุษยชน รับรองหรือประกันสิทธิของประชาชน เช่น การ
ก�าหนดกรอบกฎหมาย นโยบาย และ
หน้าที่ในการคุ้มครอง (Obligation to Protect) มาตรการต่าง ๆ ที่ท�าให้ประชาชนได้รับรู้
รัฐต้องคุ้มครองมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลถูก ถึงสิทธิดังกล่าว การประกัน ให้ประชาชน
ละเมิดสิทธิจากบุคคลอื่น หรือกลุ่มอื่นใด เช่น สามารถเข้าถึงและใช้สิทธิและเสรีภาพ
ภาคเอกชน โดยรัฐต้องมีมาตรการดูแลไม่ให้ ตามที่มีอยู่ทางธรรมชาติ และ/หรือตามที่
เกิดการละเมิดสิทธิ แต่หากเกิดการละเมิด ได้รับการรับรองในกฎหมายภายในและตาม
รัฐต้องเข้ามาดูแลให้การคุ้มครอง พันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
๓.๒ ภาคธุรกิจและรัฐ (ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน หรือโครงการพัฒนาร่วม อาทิ รัฐวิสาหกิจ) เนื่องจากการ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมเป็นโครงสร้างหลักในการพัฒนา
และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ท�าให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ จึงมีการก�าหนดหลักการสหประชาชาติ
แนวทางปฏิบัติว่าด้วยการด�าเนินธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human
Rights : UNGPs) ซึ่งก�าหนดให้ภาคธุรกิจและรัฐ (ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน หรือโครงการพัฒนาร่วม อาทิ รัฐวิสาหกิจ)
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ 44 ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙