Page 17 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 17

•  การตรากฎหมายและปรับแก้พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จ�าเลย
        ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมโดยอาศัยอ�านาจตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม

        พ.ศ. ๒๕๕๘ ประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ และการแสดงท่าทีของผู้บริหาร
                 •  การก�าหนดมาตรการที่ชัดเจนในการเคารพ คุ้มครองสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหา จ�าเลย และผู้ต้องขัง
        อาทิ การไม่น�าตัวผู้ต้องหาออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน การใช้เครื่องมือการตรวจสอบร่างกาย (body scanner) ส�าหรับ
        การตรวจค้นตัวผู้ต้องขังหญิง และค�าสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๕/๒๕๕๙ ให้พลเรือนที่กระท�าความผิดดังกล่าว
        นับแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙ อยู่ในอ�านาจการพิจารณาของศาลยุติธรรมโดยทั่วไป



                 ทั้งนี้ สถานการณ์ความเหลื่อมล�้าทางเศรษฐกิจและสังคมดังกล่าว ท�าให้บุคคลเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
        ได้แตกต่างกัน นอกจากนั้น ยังพบว่ากฎหมายหรือค�าสั่งที่ให้อ�านาจและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐในบางลักษณะ

        ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้ต้องหา จ�าเลย และผู้ต้องขัง อาทิ ค�าสั่ง คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ ซึ่งให้อ�านาจเจ้าพนักงานรักษาความสงบ
        เรียบร้อยมีอ�านาจเรียกตัวบุคคล เพื่อสอบถามข้อมูลหรือให้ถ้อยค�าที่เป็นประโยชน์ และมีอ�านาจควบคุมตัวได้ไม่เกินเจ็ดวัน
        ในทางปฏิบัติพบว่า มีการควบคุมตัวตามค�าสั่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท�าให้เกิดผลกระทบหรือความเสี่ยงต่อการละเมิด
        สิทธิมนุษยชน รวมถึงการใช้เครื่องพันธนาการในลักษณะทั่วไปที่ไม่ปกปิดมิดชิด เป็นเสมือนการประจานผู้ต้องหาหรือจ�าเลย


        สิทธิในความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

                 ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีความเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การติดต่อสื่อสารและ
        การเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ด�าเนินการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และอาจส่งผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนได้ อาทิ การน�าข้อมูล

        ส่วนบุคคลไปใช้ประมวลผลหรือเปิดเผยหรือไปใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์ โดยปราศจากการได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของข้อมูล
        ซึ่งท�าให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อบุคคลด้านชื่อเสียง ความเป็นส่วนตัว ทรัพย์สิน สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล
        รวมถึงร่างกายและชีวิต ในขณะที่รัฐบาลได้พยายามจัดท�ากฎหมายกลางคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล
        แต่ กสม. ยังพบว่า
                 •  บทบัญญัติบางมาตราของกฎหมายดังกล่าว ยังไม่สามารถคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างเหมาะสม ในขณะที่

        กระบวนการจัดท�ากฎหมายยังคงล่าช้า ตลอดจนขาดการรับรู้และการมีส่วนร่วมอย่างเหมาะสมของภาคส่วนต่าง ๆ
                 •  การเสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท�าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
        พ.ศ. ๒๕๕๐ และมีบทบัญญัติบางประการก�าหนดให้รัฐมีอ�านาจในการเข้าถึงหรือระงับข้อมูลการติดต่อสื่อสารของประชาชน

        โดยไม่มีเงื่อนไขที่ชัดเจน อาจจะส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินความจ�าเป็น


                 ดังนั้น การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทยยังขาดความสมดุล และขาดความ
        สอดคล้องต่อหลักการสิทธิมนุษยชน กสม. เสนอให้มีการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจต่อผู้ด�าเนินการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในความ
        เป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ตลอดจนการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ การสร้างจิตส�านึก

        และความตระหนักในสิทธิในความเป็นส่วนตัวของบุคคล เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร
        และการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


        สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุม

                 กสม. พบว่า สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นยังคงถูกจ�ากัด ตรวจสอบและควบคุมอย่างเข้มงวด
        ผ่านการบังคับใช้กฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการแสดงความเห็นในด้านการเมือง การปกครอง ตลอดจน
        การชุมนุมสาธารณะ แม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะหรือโครงการของรัฐและเอกชนที่มีผลกระทบต่อประชาชน
        และชุมชน โดยรัฐใช้กฎหมายในการก�ากับ ควบคุมการใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็น ได้แก่





                                 รายงานผลการประเมินสถานการณ์  16  ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙
   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22