Page 23 - รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
P. 23
ความเห็นเรื่องการเจรจาความเป็นไปได้เรื่องการจัดท าอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์
ให้กับส านักเลขาธิการอาเซียน ซึ่งประเทศสมาชิกเห็นชอบในหลักการในการจัดท าอนุสัญญาดังกล่าว และ
เห็นว่า ควรส่งเสริมให้แต่ละประเทศมีการด าเนินงานด้านกฎหมายภายในประเทศในเรื่องการค้ามนุษย์
อย่างจริงจัง
ส าหรับประเทศไทย การให้ความส าคัญกับการปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เพิ่งเกิดขึ้น
เมื่อสิบปีที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๗ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ประกาศเจตนารมณ์ใน
การปูองกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ให้การค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ และอีก ๔ ปีต่อมามีการออก
พระราชบัญญัติปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ อย่างเป็นทางการซึ่งกฎหมายฉบับ
ดังกล่าวเป็นเครื่องมือส าหรับจัดการปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทยที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
แต่ในทางปฏิบัติพบว่า มีปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นอย่างมาก มูลนิธิกระจกเงาได้
ท าการสรุปบทเรียนการบังคับใช้พระราชบัญญัติปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ ๕
ประการ คือ
ประการแรก การพิจารณาในชั้นพนักงานสอบสวน การน าผู้เสียหายเข้าสู่การแจ้งความร้องทุกข์
ในชั้นพนักงานสอบสวนมักไม่ค่อยปรากฏการแจ้งความโดยผู้เสียหายโดยล าพัง แต่จะอาศัยกลไกการน า
ผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ โดยองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ หน่วยงานของรัฐ เช่น พัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์จังหวัด เป็นต้น ผู้เสียหายส่วนมากไม่ประสงค์จะด าเนินการทางกฎหมายตั้งแต่แรก ดังนั้น การ
ให้ความรู้และการสนับสนุนให้ผู้เสียหายเข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่มีความส าคัญ
ยิ่ง ปัญหาและอุปสรรคส าคัญประการแรกจึงเป็นเรื่องความรู้ของพนักงานสอบสวนในการตั้งข้อกล่าวหา
แก่ผู้กระท าความผิด เนื่องด้วยพระราชบัญญัติปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นกฎหมายใหม่ที่เพิ่ง
บังคับใช้ ดังนั้น พนักงานสอบสวนจ านวนมากจึงไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายค้ามนุษย์เมื่อมีการร้องทุกข์แจ้ง
ความจึงมักจะตั้งข้อหาตามกฎหมายอาญามากกว่าเนื่องจากมีความชัดเจนและคุ้นเคยกว่า และหาก
ผู้เสียหายเป็นเด็กที่อายุต่ ากว่า ๑๘ ปี ด้วยแล้ว กระบวนการสอบสวนจะต้องด าเนินการตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยจะต้องเชิญทีมสหวิชาชีพมาร่วมการสอบปากค าด้วย ซึ่งพนักงาน
สอบสวนหลายคนต่างมีความเห็นว่าเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก ทั้งจะต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมและ
มีอุปกรณ์ที่สามารถท าการบันทึกการสอบปากค าได้ ดังนั้น หลายกรณีที่ผู้เสียหายเป็นเด็กจะถูกตัดตอน
ในกระบวนการชั้นพนักงานสอบสวนโดยการไม่รับแจ้งความหรือหากเป็นแรงงานข้ามชาติก็จะถูกผลักดัน
ส่งกลับประเทศต้นทางในฐานะบุคคลเข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ประการที่สอง เป็นการตัดตอนการพิจารณาในชั้นพนักงานสอบสวนทางอ้อม กล่าวคือ เมื่อ
หน่วยงานต่างๆ พาผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ในเบื้องต้นแล้ว พนักงานสอบสวนมักจะยังไม่ลงรับเป็น
เลขคดีตามระเบียบ แต่มักจะสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นก่อน แล้วค่อยท าการนัดผู้เสียหายมาสอบปากค าตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอีกครั้งในภายหลัง ซึ่งการปฏิบัติในลักษณะนี้ประวิงเวลา
ประมาณ ๑-๔ สัปดาห์ เป็นผลให้ผู้เสียหายหลายกรณี ซึ่งได้รับการพักฟื้นอยู่ในบ้านพักชั่วคราวในพื้นที่
เกิดเหตุ มักจะเปลี่ยนใจไม่ประสงค์จะด าเนินคดี และขอกลับภูมิล าเนาโดยไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร
ประกอบกับข้าราชการต ารวจมักมีการโยกย้ายต าแหน่งเสมอท าให้ขาดความต่อเนื่องในการด าเนินการ
และบางคดีต้องถูกทิ้งไปโดยไม่สามารถติดต่อพนักงานสอบสวนคนเดิมได้ หรือกรณีการคัดแยกเหยื่อจาก
การค้ามนุษย์ในที่เกิดเหตุ หลายกรณีพบว่าเจ้าหน้าที่ต ารวจใช้หลักเกณฑ์แตกต่างกันไม่เป็น
๓