Page 81 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ปัญหาเยาวชนหญิงที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรกับมิติสิทธิมนุษยชน
P. 81
๒.๔ มาตรการของภาครัฐและภาคสังคมต่อเยาวชนหญิง
ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม
ส�าหรับค�าว่า “แม่วัยรุ่น” หรือ “เย�วชนหญิงตั้งครรภ์” ในความหมายของทางหน่วยงาน
และองค์กรภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมพบว่า เป็นความหมายของเยาวชน
หญิงตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ (unwanted pregnancy) และไม่ได้วางแผน (unplanned
pregnancy) ไม่ใช่ความหมายที่เยาวชนหญิงตั้งใจที่จะตั้งครรภ์เองหรือใช้สิทธิที่จะตั้งครรภ์โดย
ก�าหนดช่วงอายุของตนเองไว้แล้ว มากไปกว่านั้นยังตีความว่าเป็นผลจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัย
แม้ค�าว่า “เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร” ไม่ได้ถูกตีความอย่างชัดเจนถึงช่วงเวลาก็ตาม และ
มีความลื่นไหลตามบริบทสังคม แต่ในส�านึกของรัฐไทยยังคงมองว่าเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งต้องห้ามส�าหรับ
เยาวชน เป็นการกระท�าก่อนวัยอันควร จากค�ากล่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่ด�ารงต�าแหน่ง
นายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดการมอบนโยบายการด�าเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหา
เด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ว่า ปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์
ไม่พร้อมเป็นปัญหาหนึ่งที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และ
กลไกการควบคุมจากสังคม ซึ่งเป็นผลให้เด็กและเยาวชนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรจนน�าไปสู่
การตั้งครรภ์ไม่พร้อม (รัฐบาลไทย, ๒๕๕๔)
การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในเยาวชนหญิงจึงเป็นเรื่องที่รัฐตระหนักถึงปัญหาและพยายามแก้ไข
อย่างเร่งด่วน เพราะส�าหรับรัฐแล้วเสมือนความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพทางบรรทัดฐานทางสังคม
ที่ท�าหน้าที่ควบคุมก�ากับและการพัฒนาศักยภาพพลเมือง จึงได้มีนโยบายเร่งป้องกันและแก้ไขปัญหา
เด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม ในเชิงบูรณาการและเชื่อมโยงกับทุกหน่วยงานภาครัฐเอกชน และ
เครือข่ายภาคสังคมต่างๆ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการจัดระบบให้เยาวชนหญิงที่ตั้งครรภ์และ
คลอดบุตรแล้วได้กลับมาเรียนต่อ และพัฒนาหลักสูตรการสอนวิชาเพศศึกษาให้เหมาะสมกับเด็ก
แต่ละช่วงวัย กระทรวงแรงงานจัดกิจกรรมอบรมวิชาชีพและจัดหางานให้เยาวชนหญิงที่ตั้งครรภ์
ท�ารวมทั้งพัฒนาฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานที่มีทักษะและแรงงานที่มีคุณภาพ กระทรวงสาธารณสุข
ให้ความรู้เรื่องสุขภาวะทางเพศ หรือการจัดบริการให้ค�าปรึกษาในรูปแบบต่างๆ (รัฐบาลไทย, ๒๕๕๔)
80 // ปัญหำเยำวชนหญิงที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรกับมิติสิทธิมนุษยชน