Page 212 - รายงานผลการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ
P. 212
๑๘๕
๙. สมควรที่จะมีศาลเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องที่ดินของรัฐขึ้นโดยเฉพาะ จะได้ทราบปัญหาลึกซึ้ง
และหาช่องทางในลักษณะประนีประนอม เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน
ให้เกิดผลดีที่สุด ทั้งเพื่อให้เกิดความเป็นมาตรฐานในการสอบสวน การฟ้องร้องและการด าเนินคดีเกี่ยวกับ
กรณีที่ดินของรัฐ ในกรณีพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีความแตกต่างกันทางด้านความคิด
ธรรมเนียมประเพณีในพื้นที่แต่ละภาค
ดังนั้น เพื่อให้มีความรวดเร็วและเป็นธรรมต่อเกษตรกรผู้ยากจนที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับสิทธิ
ในที่ดินตามการประกาศพื้นที่สงวนหวงห้ามของรัฐ และท าให้ประชาชนที่อยู่อาศัยท าประโยชน์ในพื้นที่นั้น
ได้รับความเป็นธรรมในการด าเนินคดีและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ ควรให้มีศาลพิจารณาพิพากษาตัดสิน
ในประเด็นนี้เป็นการเฉพาะ และหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือประชาชนที่ถูกด าเนินคดีต้องเข้าไป
ด าเนินการทันทีโดยมิต้องให้ประชาชนร้องขอ
จากผลของการศึกษาสรุปได้ ดังนี้
การก าหนดแนวเขตพื้นที่ โดยวัตถุประสงค์หลักเป็นไปเพื่อให้รู้ขอบเขตส าหรับการแบ่งสันปันส่วน
ระหว่างกัน หน่วยงานของรัฐได้ก าหนดพื้นที่หวงห้ามในแต่ละหน่วยงานขึ้นตามรูปแบบต่างๆ ปัญหา
เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินจึงมีจ านวนเพิ่มมากขึ้น การแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว ต้องใช้ทั้งแนวเขตและสภาพ
ข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่มีการหวงห้ามเป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหา การประกาศก าหนดให้เป็นที่ดินของรัฐ
แบ่งแยกออกตามวัตถุประสงค์หรือนโยบายของรัฐได้เป็น 2 ประเภท คือ เป็นพื้นที่ที่รัฐมีวัตถุประสงค์
ในการสงวนเพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ ทั้งแก่รัฐและแก่ประชาชน และเป็นพื้นที่ที่รัฐ
มีวัตถุประสงค์ในการสงวนเพื่อการสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยพบว่ามีปัญหากระทบกับสิทธิใน
ที่ดินของประชาชน ซึ่งสรุปประเด็นปัญหาได้ ๓ ประการ คือ (๑) แนวเขตที่ก าหนดมีการทับซ้อนกัน
ระหว่างพื้นที่ของหน่วยงานต่างๆ (๒) แนวเขตที่ก าหนดมีความผิดพลาด ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งใน
สภาพปัญหานี้สามารถจ าแนกได้เป็น ๓ ปัญหาย่อย คือ การไม่ยอมรับ ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง และ
แนวเขตที่ก าหนดล้าสมัย และ (๓) ความล่าช้าในการก าหนดแนวเขตพื้นที่สงวนหวงห้ามของรัฐ
ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้น าเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับที่ดินและป่าไม้ต่อคณะกรรมการ
สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยได้เลือกกรณีค าร้อง จ านวน ๗ กรณีศึกษา โดยเน้นกรณีศึกษาในพื้นที่ ป่าไม้
จ านวน ๖ กรณี และที่ดินสงวนหวงห้ามกับที่ดินสาธารณประโยชน์ จ านวน ๑ กรณี สรุปได้ว่า
(๑) รัฐเป็นผู้ก าหนดเขตจ าแนกพื้นที่แต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ค านึงถึงสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ว่า
ประชาชนท ากินมาก่อน ท าให้ประชาชนไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายก าหนด
(๒) ปัญหาข้อขัดแย้ง ยังไม่สามารถหาข้อยุติแนวเขตร่วมกันของหน่วยงานได้ ประชาชน
ถูกจับกุมด าเนินคดี และไม่สามารถท ากินได้ตามสิทธิที่ควรจะได้รับตามกฎหมาย หน่วยงานของรัฐมิได้
เร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนผู้เดือดร้อน