Page 133 - โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง สิทธิชุมชนและผลกระทบโครงการพัฒนาภาคใต้
P. 133

๑๑๙







                  โครงการอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ํายังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการกลั่นกรองรายละเอียดจากคณะกรรมการ
                  อุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) ก่อนนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ


                                ๗)  เหมืองแร่และโรงไฟฟ้าถ่านหินสะบ้าย้อย

                             นอกจากนี้พื้นที่จังหวัดสงขลายังมีแหล่งถ่านหินสะบ้าย้อยซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น

                  อันดับสองของประเทศรองจากเหมืองแม่เมาะ โดยมีปริมาณถ่านหินสํารอง ปริมาณ ๑๓๔.๗ ล้านตัน
                  แอ่งสะบ้าย้อยครอบคลุมพื้นที่  อําเภอเทพา และ อําเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา รวมทั้งบางส่วนของ

                  อําเภอโคกโพธิ์่ จังหวัดปัตตานี  ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นผู้ได้รับสัมปทานทําเหมืองแร่

                  และวางแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวด้วย แต่ได้รับการคัดค้านจากชาวบ้านและ
                  ชุมชนในพื้นที่มาโดยตลอด และครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้

                  พยายามรื้อฟื้นโครงการขึ้นมาใหม่อีก โดยได้มีการจ้างนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

                  วิทยาเขตปัตตานี เพื่อศึกษาทําความเข้าใจผลดี ผลเสีย และรูปแบบการพัฒนาแหล่งหินลิกไนต์สะบ้า
                  ย้อย แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่จะดําเนินโครงการดังกล่าว รวมทั้งก็ยังไม่

                  ยอมให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าทําการศึกษาและจัดประชุมในพื้นที่




                         ๕.๓.๓  ประเด็นการละเมิดสิทธิจากกรณีศึกษาจังหวัดสงขลา

                                ๑)  สิทธิในการกําหนดอนาคตและเจตจํานงของตนเองและสิทธิในการพัฒนา


                             โครงการพัฒนาต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา นอกจากจะถูกวางแผนกําหนดมาจาก

                  แผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้แล้ว ก็เป็นผลมาจากการโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ ๓ ฝ่าย ที่ศึกษาโดย
                  องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน โดยธนาคารแห่งเอเชียที่มีญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

                  ได้แสดงออกและสนับสนุนอย่างชัดเจนที่จะผลักดันให้เกิดการเชื่อมต่อท่อพลังงานระหว่างประเทศ

                  อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เช่นเดียวกับกรณีศึกษาในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัด
                  นครศรีธรรมราช จะเห็นได้ว่าชาวบ้านและชุมชนท้องถิ่นไม่ได้มีสิทธิในการกําหนดอนาคตของตนเองเลย

                  โครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆ ที่เป็นกรณีร้องเรียนของชาวบ้าน ล้วนเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ

                  หน่วยงานภายนอกทั้งในระดับต่างประเทศและในประเทศเป็นผู้กําหนดทั้งนั้น และเป็นการละเมิดสิทธิ
                  ในการกําหนดอนาคตและเจตจํานงของตนเองของชาวบ้านอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยที่ประชาชนใน

                  จังหวัดก็ไม่มีสิทธิไม่มีเสียงในการบริหารจัดการและพัฒนาจังหวัดท้องถิ่นของตนเองเลยรวมทั้งการขอ

                  อนุญาตดําเนินโครงการไม่ตรงไปตรงมาชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจการกําหนดทิศทางการ
                  พัฒนาของชุมชนอย่างแท้จริง
   128   129   130   131   132   133   134   135   136   137   138