Page 51 - รายงานการศึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
P. 51
ต่อสถาบันศาสนานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ดี นอกจากแนวความคิดในการลงโทษผู้กระทำา
ความผิดต่อสถาบันศาสนาที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เนื่องจากการปรับปรุงกฎหมายของไทยนั้น
แรงผลักดันส่วนหนึ่งมาจากความต้องการในการหลีกหนีการตกเป็นอาณานิคม กฎหมายที่
ปรับปรุงนั้นจึงต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นสากลทัดเทียมนานาอารยประเทศ เพื่อมิให้
ชาวตะวันตกอ้างได้ว่ากฎหมายของไทยล้าหลังและป่าเถื่อน แล้วเข้ามาปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้
แม้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ จะยังคงบัญญัติถึงโทษประหารชีวิตอยู่ แต่ในแง่
ของกระบวนการและวิธีการในการประหารชีวิตมีความโหดร้ายทารุณน้อยลง ก่อนมีการลงโทษ
ประหารชีวิตจะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบมากขึ้น เพราะการประหารชีวิตนั้นย่อมกระทบ
ถึงสิทธิในการมีชีวิตของบุคคลดังกล่าว ซึ่งในช่วงนี้ชาวตะวันตกได้เริ่มมีแนวความคิดและคำานึงถึง
สิทธิความเป็นมนุษย์มากขึ้น อันส่งผลต่อการปรับปรุงกฎหมายของประเทศไทยที่จะต้องคำานึงถึง
แนวคิดดังกล่าวเช่นกัน สำาหรับการประหารชีวิตในยุคนี้ ได้แก่
ก�รประห�รชีวิตด้วยก�รตัดศีรษะ
การประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งการประหารชีวิต
ด้วยการตัดศีรษะในสมัยโบราณ เรียกว่า “กุดหัว” โดยใช้ดาบฟันคอนักโทษเด็ดขาด ดาบที่ใช้
ในการประหารมีรูปร่างต่าง ๆ กัน ครูเพชฌฆาตเป็นผู้จัดทำาดาบขึ้น มีดาบปลายแหลม
ดาบปลายตัด และดาบหัวปลาไหลการประหารชีวิตครั้งใดจะใช้ดาบชนิดใด ให้อยู่ในดุลพินิจ
ของครูเพชฌฆาต
เพชฌฆาตผู้ทำาหน้าที่ประหารชีวิตมี ๓ คน คือ ดาบที่หนึ่ง และตัวสำารองอีก ๒ คน เรียกว่า
ดาบสองและดาบสาม ถ้าดาบหนึ่งฟันคอไม่ขาด ดาบสองจะต้องซ้ำา ถ้ายังไม่ขาดดาบสามก็ต้องเชือด
ให้ขาด พิธีการประหารชีวิตด้วยดาบ มีวัตถุเครื่องมือใช้และพิธีทางไสยศาสตร์หลายอย่าง เช่น
มีสายมงคลล้อมรอบบริเวณประหาร กันผีตายโหงจะเฮี้ยน การตัดสายมงคลต้องใช้มีดโดยเฉพาะ
จะใช้ของอื่นไม่ได้ เป็นต้น
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ การประหารชีวิตนักโทษด้วยดาบมักทำาพิธีกันที่วัด โดยคุมตัวผู้ต้อง
โทษประหาร เดินทางโดยทางเรือออกจากคุกในลักษณะจองจำาครบ ๕ ประการ ดังจะสรุปขั้นตอน
ของการประหารชีวิตด้วยดาบ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังนี้
๑. เมื่อลูกขุน ณ ศาลาลูกขุน ณ ศาลหลวง วางโทษประหารชีวิต ก็จะนำาความขึ้น
กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
ประหารชีวิต
๒. ก่อนจะนำาตัวไปประหารชีวิต จะต้องถูกเฆี่ยน ๓ ยก ๆ ละ ๓๐ ที รวม ๙๐ ที
๓. จัดอาหารคาวหวานมื้อสุดท้ายให้นักโทษกินก่อนประหาร และนิมนต์พระมาเทศน์
ให้ฟัง
38 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ