Page 47 - รายงานการศึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
P. 47

จากลักษณะความผิดที่กำาหนดในกฎหมายดังกล่าว  จะเห็นถึงแนวความคิดในการลงโทษ
                  ประหารชีวิตของประเทศไทย ในแง่ของพระราชอำานาจของพระมหากษัตริย์และความเป็นสมมติเทพ

                  ของพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวคือ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา

                  และรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น มีการการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์
                  ทรงมีพระราชอำานาจสูงสุด ดังนั้น หากมีผู้ใดกระทำาการกบฏ ประทุษร้ายต่อพระมหากษัตริย์จึงต้อง
                  รับโทษหนัก  คือ  โทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต  นอกจากนี้  ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็น

                  องค์สมมติเทพ  หรือทรงเป็นองค์อวตารของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์  และเป็นเจ้าชีวิตของ

                  ประชาชนทุกคนในสังคม ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป ดังนั้น การกระทำาความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์
                  จึงถือเป็นการกระทำาความผิดต่อเทพเจ้าด้วย  เมื่อผู้ใดกระทำาความผิดต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งทรง
                  เป็นองค์อวตารของเทพเจ้าจึงต้องถูกลงโทษ และต้องได้รับโทษสูงสุด คือ การประหารชีวิต

                           นอกจากนี้ แม้พระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นจะทรงเป็น

                  องค์สมมติเทพ  แต่ด้วยแนวความคิดและคติความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาที่ยังคงฝังรากลึก
                  อยู่ในสังคมไทยเสมอมา  พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงยึดหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา  และ
                  พระพุทธศาสนายังคงเป็นศาสนาสำาคัญของประเทศไทยดังที่เคยเป็นมา  ด้วยเหตุนี้  การกระทำา

                  ความผิดต่อสถาบันศาสนา เช่น การเผาพระอุโบสถ และสังฆาราม การฆ่าพระสงฆ์หรือสามเณร

                  โดยทารุณโหดร้าย  หรือการกระทำาอันเป็นการลบหลู่สถาบันศาสนา  เช่น  การนำาพระพุทธรูป
                  มาทุบตีเหยียบย่ำา  จึงเป็นการกระทำาความผิดอย่างร้ายแรงซึ่งต้องได้รับการลงโทษ  และโทษ
                  ที่ลงนั้นย่อมต้องเป็นโทษหนัก  คือ  การต้องโทษประหารชีวิตเช่นเดียวกับการกระทำาความผิด

                  ต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นองค์สมมติเทพนั่นเอง

                           แม้กฎหมายเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาจะสูญหายไปมาก  แต่จากกฎหมายตราสามดวง
                  ซึ่งได้ประมวลไว้ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ สามารถแสดงให้เห็นเค้าโครงการลงโทษ
                  ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ว่า เป็นการลงโทษเพื่อแก้แค้น ตอบแทน และข่มขู่ยับยั้ง เพราะมุ่งลงโทษ

                  ที่ตัวผู้กระทำาผิดอย่างเต็มที่  โดยเฉพาะโทษประหารชีวิตในพระไอยการกระบดศึก  อันว่าด้วยโทษ

                  ทวะดึงษ์กรรมกรณ์ ๓๒ ประการ ได้กำาหนดวิธีการประหารชีวิตหลายรูปแบบอย่างน่าสยดสยอง
                  (โทษประหารชีวิตในประเทศไทย, ๒๕๔๘)
                           สำาหรับวิวัฒนาการประหารชีวิตในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น  สามารถ

                  สรุปได้ดังนี้

                           การประหารชีวิตในสมัยกรุงศรีอยุธยา  ปกติใช้วิธีตัดศีรษะด้วยดาบ  แต่ในกรณีกบฏ
                  ได้มีบทบัญญัติในลักษณะที่โหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง ซึ่งเข้าใจว่ามุ่งหมายข่มขู่ให้เกรงกลัว และในกรณี
                  ลงโทษพระราชวงศ์ก็มีวิธีประหารชีวิตแตกต่างจากสามัญชน  โดยโทษประหารชีวิตที่มี

                  ความรุนแรงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ โทษประหารชีวิต ๒๑ สถาน สมัยโบราณวิธีการประหารชีวิต

                  ตามพระไอยการกระบดศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร ๒๑ วิธี
                  หรือ ๒๑ สถาน






        34     คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52