Page 50 - รายงานการศึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
P. 50
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการปฏิรูประบบกฎหมายของไทย โดยมีการร่างประมวลกฎหมาย
ฉบับแรกของไทย คือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ซึ่งในช่วงนั้นแนวความคิดในการลงโทษ
ประหารชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไป โดยได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ในสมัยดังกล่าวเป็นยุค
ของการล่าอาณานิคม โดยชาวตะวันตกมักมีข้ออ้างในการเข้ามาปกครองดูแลประเทศในแถบเอเชีย
ซึ่งมักอ้างเหตุว่าการที่ชาวตะวันตกเข้ามาปกครองนั้นจะทำาให้ดินแดนในเอเชียมีความเจริญก้าวหน้า
ทัดเทียมประเทศของตน นอกจากนี้ ยังอ้างว่ารัฐบาลของประเทศในเอเชียขาดสมรรถภาพ
ไม่สามารถรักษาความสงบสุขของราษฎร และผู้พำานักในประเทศ จึงสมควรที่ชาวยุโรปจะเข้ามากำาจัด
คนอันธพาล เพื่อให้ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่ในประเทศนั้นๆ ด้วยเหตุนี้
บรรดาเจ้านายและข้าราชการจึงได้กราบบังคมทูลถวายความเห็นในการแก้ไขการปกครองแผ่นดิน
และเสนอบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า การที่จะรักษา
บ้านเมืองให้พ้นอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการปกครองของศัตรู ต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงในทาง
ทำานุบำารุงรักษาบ้านเมืองตามที่ญี่ปุ่นได้เดินทางตามยุโรปมาแล้ว และซึ่งประเทศทั้งปวงที่มี
ความศิวิไลซ์ นับว่าเป็นทางเดียวที่จะรักษาประเทศไว้ได้ กล่าวคือ ประเทศญี่ปุ่นได้ใช้วิธีการปรับปรุง
กฎหมายของตนให้มีความยุติธรรมและทันสมัยตามหลักสากล ชาวตะวันตกยอมรับนับถือและไม่อาจ
กล่าวอ้างว่าเป็นประเทศป่าเถื่อนได้อีก
จากแนวความคิดดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้มีการปฏิรูประบบกฎหมายของประเทศไทย
โดยเริ่มต้นจากกฎหมายอาญาและมีการร่างกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ขึ้น ผลที่เกิดขึ้น
จากการปฏิรูปดังกล่าวก็คือ โครงสร้างของกฎหมายและการปกครองของประเทศไทยในส่วนรวม
ได้ถูกแก้ไขเกือบทั้งหมด ระบบกฎหมายใหม่ถูกสร้างขึ้นมา ระบบยุติธรรมแบบรวมอำานาจไว้ในส่วน
กลางและระบบกฎหมายแห่งชาติได้เข้ามาแทนที่โครงสร้างกฎหมายแบบจารีตประเพณี ซึ่งบังคับใช้
โดยอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติและบุคลากรของท้องถิ่น
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ของการปฏิรูประบบกฎหมาย ในส่วนที่เกี่ยวกับโทษประหารชีวิตนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายลักษณะอาญา
ร.ศ. ๑๒๗ ยังคงมีการบัญญัติให้มีการลงโทษประหารชีวิตอยู่ เพื่อข่มขู่ยับยั้งมิให้ผู้อื่นกล้ากระทำา
ความผิดซึ่งมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตอีก แต่หากพิจารณาในแง่ของแนวความคิดในการลงโทษ
ประหารชีวิตแล้ว แม้แนวความคิดบางประการจะยังไม่แตกต่างกับในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนัก
เช่น การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีอำานาจสูงสุดในแผ่นดิน
แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น การกระทำาความผิดต่อพระมหากษัตริย์ เช่น การลอบปลงพระชนม์
หรือการประทุษร้ายพระมหากษัตริย์ หรือการกระทำาความผิดอันกระทบต่อความมั่นคงในแผ่นดิน
ของพระองค์ เช่น การกระทำาความผิดฐานขบถ จึงยังคงมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต
อยู่เช่นเดิม แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการกระทำาความผิดต่อศาสนา เช่น การทำาลายพระพุทธรูป
การฆ่าพระสงฆ์หรือสามเณร กลับมิได้มีโทษถึงขั้นประหารชีวิตเช่นเดิม แต่มีโทษเพียงจำาคุกเท่านั้น
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าแนวความคิดในการลงโทษประหารชีวิตเพื่อสนองต่อผู้กระทำาความผิด
โทษประหารชีวิตในประเทศไทย 37