Page 147 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 147

ณ สถานกักกันคนต่างด้าวของสำานักงานตรวจคนเข้าเมือง  รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือชาวปากีสถาน
                                                        ้
                     ที่นับถือนิกายอะมาดีห์และชาวลาวม้ง ที่ห้วยนำาขาว
                                เมื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า สาเหตุของการละเมิดสิทธิมนุษยชน

                     ดังกล่าวมีที่มาจากข้อจำากัดของกฎหมายที่ใช้บังคับ กล่าวคือ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
                     ไม่เอื้อต่อการรับรองและคุ้มครองสิทธิของผู้ลี้ภัย  ทำาให้ผู้ลี้ภัยถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานโดย
                     เจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น เรื่องการถูกกักกันโดยไม่มีกำาหนดเวลาสูงสุด ในสภาพห้องกักที่ไม่ถูกสุขอนามัย

                     การถูกผลักดันออกนอกประเทศให้เผชิญกับการประหัตประหารโดยไม่สมัครใจ

                                โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีเด็กเล็กที่ติดตามพ่อแม่ที่เป็นผู้ลี้ภัยหรือเข้ามาเพื่อแสวงหาที่ลี้ภัยนั้น
                     หากถูกกักตัว การกักจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งร่างกาย จิตใจ และศักยภาพในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
                     ของเด็ก  การกักตัวจึงควรเป็นมาตรการสุดท้ายที่นำามาใช้กับเด็กที่ติดตามพ่อแม่เข้ามา ในกรณีที่ไม่สามารถ

                     ใช้มาตรการอื่นใดได้แล้วเท่านั้น และการกักตัวนั้นต้องกักตัวเป็นระยะเวลาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำาได้

                                ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าวอีกต่อไป  ประเทศไทยจึงควร
                     ปรับปรุงพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองในสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานระหว่างประเทศ





                            ๓.  เพื่อสร้างบรรทัดฐานและแนวปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ทำาหน้าที่เกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัย

                                ในห้วงเวลาที่ผ่านมา การดูแลผู้ลี้ภัยในประเทศไทยอาศัยอำานาจฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย
                     มติคณะรัฐมนตรี มติสภาความมั่นคงแห่งชาติ ภายใต้แนวนโยบายความมั่นคงของชาติเป็นหลัก  ในขณะที่

                     ปัจจุบันสังคมการเมืองได้ก้าวข้ามเขตแดนรัฐชาติเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวสู่ยุคโลกาภิวัตน์
                                การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเมืองจำาเป็นต้องมีกฎเกณฑ์

                     และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนต่อผู้ลี้ภัย  แต่พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒  ซึ่งได้บังคับใช้เป็นเวลา
                     กว่า ๓๐ ปี มิได้มีการพิจารณาสถานภาพผู้ลี้ภัย ทำาให้ผู้ลี้ภัยหรือแสวงหาที่ลี้ภัยผ่านเข้ามาในประเทศไทย

                     ด้วยเจตนาที่ต้องการเดินทางไปลี้ภัยในประเทศที่สามถูกจับกุมคุมขังโดยไม่กำาหนดเวลาในข้อหา “หลบหนี
                     เข้าเมืองผิดกฎหมาย”  และมีคนต่างด้าวซึ่งแอบอ้างว่าเป็นผู้ลี้ภัยเพื่อพักพิงในประเทศไทยเป็นจำานวนมาก

                     การดูแลคนกลุ่มนี้ก็มิได้มีการกำาหนดกรอบเวลาในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแต่ประการใด  ทำาให้
                     เป็นภาระแก่ประเทศไทยอย่างยิ่ง  อีกทั้ง การพิจารณาสถานภาพผู้ลี้ภัยของสำานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย

                     แห่งสหประชาชาติใช้เวลานานและไม่แน่นอน
                                จึงควรปรับปรุงพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลี้ภัยจริง

                     และลดภาระอันหนักจนเกินควรของประเทศไทย  โดยสามารถใช้ตัวอย่างจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย
                     แปซิฟิค เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ลงนามในความเข้าใจร่วมระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับสำานักงาน

                     ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM)
                     เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ ในกรณีผู้ลี้ภัยที่ต้องได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศเป็นการเร่งด่วน

                     โดยข้อตกลงดังกล่าว ได้กำาหนดให้องค์การระหว่างประเทศ เพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานเป็นผู้รับผิดชอบ



                                                                                                          


                                      ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม  และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง  พ.ศ. ๒๕๒๒
   142   143   144   145   146   147   148   149   150   151   152