Page 227 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 227
คิดเห็นจากประชาชนเป็นการทั่วไปด้วยและเมื่อจัดท าร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วต้องจัดให้มีการ
ออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญด้วย ในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ครั้งนี้ได้ก าหนดกรอบการร่าง
รัฐธรรมนูญไว้คือ
1. การคุ้มครองส่งเสริมและการขยายสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่
2. การลดการผูกขาดอ านาจรัฐและขจัดการใช้อ านาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรม
3. การท าให้การเมืองมีความโปร่งใสมีคุณธรรมและจริยธรรม
4. การท าให้ระบบตรวจสอบมีความเข้มแข็งและท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากกรอบการร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 4 ข้อดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ
อ านาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นอย่างมากและที่ส าคัญได้เปลี่ยนแปลงสถานะ
ขององค์กรผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาที่จากเดิมบัญญัติในหมวดรัฐสภามาบัญญัติไว้ในหมวด
11 องค์กรตามรัฐธรรมนูญและได้เปลี่ยนชื่อจาก“ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” เป็น “ผู้ตรวจการ
แผ่นดิน” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 242-245 และในบทเฉพาะกาลมาตรา 299 บัญญัติให้ผู้ตรวจการ
แผ่นดินของรัฐสภาซึ่งด ารงต าแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินตาม
บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ด้วยรวมทั้งบทเฉพาะกาลมาตรา 302 บัญญัติให้
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542 มีผลบังคับ
ใช้ต่อไป
หลังจากที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 24
สิงหาคม พ.ศ. 2550 นั้นจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสถาบันผู้ตรวจการแผ่นดินของ
รัฐสภาของไทยครั้งยิ่งใหญ่ทั้งในด้านชื่อ สถานะ โครงสร้างและการบริหารจัดการดังต่อไปนี้
1. สถานะ
ผู้ตรวจการแผ่นดินมีฐานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้งของ
พระมหากษัตริย์ตามค าแนะน าของวุฒิสภาซึ่งคัดเลือกจากบุคคลที่คณะกรรมการสรรหาจาก
บุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนมีความรู้และประสบการณ์และมีความซื่อสัตย์สุจริต
เป็นที่ประจักษ์มีจ านวน 3 คน มีวาระการด ารงต าแหน่ง 6 ปีและสามารถด ารงต าแหน่งได้เพียง
วาระเดียว
- 182 -