Page 5 - บทบาทคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
P. 5
ที่สัมพันธ์กับสังคมโดยรวม และอื่น ๆ มาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาด้วย ถึงตรงนี้ ควรกล่าวโดย
ย่อถึงภูมิหลังอันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนและกสม. เป็นจุดเริ่มต้น
เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ภูมิหลังที่ว่านี้นับเป็นผลบั้นปลายของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม
อย่างต่อเนื่อง นับแต่ช่วงที่ประเทศไทยภายใต้ระบอบเผด็จการทหารในต้นทศวรรษ 1960 ได้ก้าวเข้าสู่
สภาพเงื่อนไขของการพัฒนาและการปรับเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรม ในท านองเดียวกับประเทศก าลังพัฒนา
อีกหลายแห่ง การริเริ่มดังกล่าวมาจากธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ
การเมืองยุคหลังสงครามโลก จากนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและการขยายตัวของชนชั้น
กลางในเมือง รวมทั้งความยากจนที่แผ่ขยายออกไป การกดชนบทลงเป็นเบี้ยล่าง และความเสื่อม
โทรมทางธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่ทราบกันดีอยู่แล้ว คงไม่ต้องลง
รายละเอียดมากไปกว่านี้ ทั้งนี้ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะกล่าวว่า การพัฒนาที่เน้นความเจริญเติบโต
และนโยบายที่สืบเนื่องนั่นเอง ที่เป็นมูลเหตุของความทุกข์ยากเป็นอันมากของมนุษย์ และน ามาซึ่งการ
ล่วงล้ าสิทธิขั้นพื้นฐานในวิถีด ารงชีพและพัฒนาตนเอง นับเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนักที่สิทธิพื้น ๆ ทาง
เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเหล่านี้ยังไม่ถูกนับรวมเป็นสิทธิมนุษยชน และผู้ครองอ านาจเป็นเจ้าโลก
อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะเหล่า “นักเสรีนิยม” ที่เคยต่อสู้เพื่อเสรีภาพมาในอดีต ก็ยังปฏิเสธความ
6
รับผิดชอบต่อสิทธิเหล่านี้ กระนั้นก็ดี ภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ตอนต้นทศวรรษ 1970 ก็เกิดการ
ลุกฮือของมวลชนโดยพลังผลักดันร่วมกันระหว่างชนชั้นกลางรุ่นใหม่กับขบวนการนิสิตนักศึกษา
จากนั้นความล่มสลายของคณะเผด็จการและความแตกแยกในหมู่ทหารก็น าไปสู่การรัฐประหารครั้งแล้ว
ครั้งเล่า แล้วจึงตามมาด้วยกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองโดยพลเรือนตามล าดับในราวปลาย
ทศวรรษ 1980 แต่แล้วในปีถัดมาก็กลับมีการรัฐประหารโดยกลุ่มทหารหลงยุคอีกครั้งหนึ่งช่วงสั้น ๆ
ก่อให้เกิดการต่อต้านครั้งใหญ่ในหมู่ชนชั้นกลางในเมือง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม “เหตุการณ์
พฤษภาทมิฬ” สถานการณ์ครั้งนี้ท าให้เกิดกระแสผลักดันเรียกร้องไปทั่วประเทศให้มีการปฏิรูป
การเมือง “การปฏิรูป”จึงกลายเป็นค ายอดนิยมที่สะท้อนถึงความคาดหวังที่ทวีสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งใน
หมู่ประชาชนไทยทุกระดับของสังคม กระแสดังกล่าวได้ปะทุจนถึงจุดวิกฤต ที่นักการเมืองรุ่นเก่า
ทั้งหลายจ าต้องยอมเอนเอียงตามเจตนารมณ์ของประชาชน ในการสร้างสรรค์รัฐธรรมนูญใหม่ที่มุ่งมั่นสู่
การปฏิรูป แม้จะไม่สู้เต็มใจนักก็ตาม
อย่างไรก็ตาม สิทธิเสรีภาพที่ได้มาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กับอ านาจในการบังคับใช้ใน
ความเป็นจริง ก็ยังมีช่องว่างระหว่างกันอยู่มากทีเดียว สภาพปัญหาทางการเมืองดังกล่าวนี้เตือนให้เรา
นึกถึง เซอร์โจซาย ครอสบี้ เอกอัครราชทูตอังกฤษในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี ๒๔๗๕
7
ซึ่งได้แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อประชาธิปไตยชนิดที่ปราศจากพลังของมติมหาชน ส่วนใหญ่แล้ว
สิทธิเสรีภาพที่ตราไว้นั้นมักถูกรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งเมินเฉย สถานการณ์จึงไม่ต่างอะไรนักจาก
ระบอบอ านาจนิยมก่อนหน้า ข้อแตกต่างที่ส าคัญก็คือ ปัจจุบันประชาชนตระหนักรู้และใส่ใจต่อความ
เป็นไปในบ้านเมืองและโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มองค์กรนอกภาครัฐและกลุ่มประชา
สังคมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ ที่คอยร่วมกันเฝ้าระวังตรวจสอบความไม่
ชอบมาพากลของอ านาจอย่างจริงจัง
๓