Page 82 - รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
P. 82

รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
              56 ต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก




                  และอำานวยความสะดวกต่อประชาชน ประกาศดังกล่าวไม่มีผลเป็นเด็ดขาด โดยผู้เกี่ยวข้องยังสามารถ

                  โต้แย้งได้  อนึ่ง โดยที่การประกาศดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานและอำานวยความ
                  สะดวก  หากแต่ละหน่วยงานต้องกำาหนดหลักเกณฑ์เป็นเอกเทศ ก็อาจก่อให้เกิดความสับสนแก่

                  ประชาชนผู้ประสงค์จะประกอบกิจการต่างๆ ได้  จึงสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะกำาหนดให้หน่วยงาน
                  อนุญาตที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำาหนดให้เป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน

                             ประเด็นที่ส�ม  หน่วยงานอนุญาตจะอาศัยอำานาจตามกฎหมายปัจจุบันพิจารณาออก

                  ใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมที่อาจอยู่ภายใต้บังคับของ มาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
                  แห่งราชอาณาจักรไทย ได้หรือไม่

                             คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า  โดยหลักทั่วไปของการตรากฎหมายย่อมไม่มี
                  วัตถุประสงค์ให้การบริหารราชการแผ่นดินหรือการประกอบอาชีพของประชาชนต้องสะดุดหยุดลง

                  ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายกำาหนดรายละเอียดในการดำาเนินการ  และโดยที่การดำาเนินโครงการหรือ
                  กิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง  จำาเป็นจะต้อง

                  มีกฎหมายกำาหนดรายละเอียด  ในการส่งเสริมและคุ้มครองการใช้สิทธิและเสรีภาพของชุมชนเพื่อ
                  ใช้เป็นแนวทางให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามที่มาตรา ๓๐๓ (๑) บัญญัติไว้  ดังนั้น ในระหว่างที่

                  คณะรัฐมนตรียังไม่ปรับปรุงหรือจัดทำากฎหมายกำาหนดรายละเอียดในการจัดตั้งองค์การอิสระ
                  หน่วยงานอนุญาตจึงสามารถพิจารณาออกใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิด

                  ผลกระทบต่อชุมชนได้  หากโครงการหรือกิจกรรมนั้นได้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อ
                  คุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และได้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น

                  ของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันกำาหนดไว้

                             ในขณะที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยอุทธรณ์ในคดีถมคลองถนนเขต (คำาพิพากษา
                  อุทธรณ์ของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดง ที่ อ. ๓๓๔/๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐)

                  เกี่ยวกับสิทธิตามรัฐธรรมนูญไว้โดยสรุปว่า  สิทธิตามมาตรา ๕๖ ของรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ ย่อมได้รับ
                  ความคุ้มครอง  การที่ยังไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายกำาหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการใช้สิทธิ

                  ดังกล่าวนั้น  ไม่ใช่เหตุที่องค์กรของรัฐจะยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธไม่ให้ความคุ้มครองสิทธิ
                  ดังกล่าวได้  ดังนั้น ในกรณีที่ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติกำาหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการใช้สิทธิ

                  ดังกล่าว  หน่วยงานจะต้องใช้หลักเกณฑ์และวิธีการที่สมควรแก่กรณี เช่นเดียวกับคำาวินิจฉัยของ
                  ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๓/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๒ ที่กล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

                  พุทธศักราช ๒๕๕๐  มีเจตนารมณ์ที่ให้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้มีสภาพบังคับได้ทันที
                  ที่รัฐธรรมนูญประกาศให้มีผลใช้บังคับ (คือวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐) โดยไม่ต้องรอให้มีการบัญญัติ

                  กฎหมายอนุวัติการมาใช้บังคับก่อน การบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา ๔๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ
                  ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงต้องดำาเนินการให้สอดคล้องและเป็นไป

                  ตามหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖๗ วรรคสอง ด้วย
   77   78   79   80   81   82   83   84   85   86   87