Page 79 - รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
P. 79
ต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก 53
รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
การปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
การออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำาหนดประเภท ขนาด และวิธี
ปฏิบัติ สำาหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพ
สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนจะต้องจัดทำา
รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมถึงการใช้กลไกคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
ในการศึกษาและพิจารณาเรื่องศักยภาพในการรองรับของพื้นที่มาบตาพุด ทำาให้ประชาชนที่ได้รับ
ความเดือดร้อนต้องรวมตัวกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา และเรียกร้องให้รัฐบาลดำาเนินการให้เป็นไป
ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังเช่นกรณีการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อให้รัฐบาลดำาเนินการ
ควบคุม ลด และขจัดมลพิษในพื้นที่มาบตาพุด จนกระทั่งปัญหาในระดับพื้นที่ได้ขยายวงกว้างไปสู่
หลายพื้นที่และกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ซึ่งจะวิเคราะห์รายละเอียดต่อไป
๓.๒ การเพิกเฉยล่าช้าและการไม่ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
๓.๒.๑ การเพิกเฉยล่าช้าของรัฐบาล : การไม่ดำาเนินการจัดทำาหรือปรับปรุงกฎหมายให้
แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำาหนดตามรัฐธรรมนูญ
เนื่องจากภายหลังการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ประเทศไทยมีรัฐบาลสามชุดในช่วงเวลาสามปี กล่าวคือ รัฐบาลชุดแรกมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็น
นายกรัฐมนตรี รัฐบาลชุดที่สองมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล
ชุดที่สามมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่บทบัญญัติในมาตรา ๓๐๓ (๑)
กำาหนดว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่เข้าบริหารราชการแผ่นดินภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งแรก
ตามรัฐธรรมนูญนี้ ดำาเนินการจัดทำาหรือปรับปรุงกฎหมายในเรื่องสิทธิชุมชนให้แล้วเสร็จภายใน
กำาหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ปรากฏข้อเท็จจริงว่า รัฐบาลชุดแรกบริหาร
ราชการเพียงเก้าเดือน รัฐบาลชุดที่สองบริหารราชการเพียงสองเดือน มีเพียงรัฐบาลชุดที่สามเท่านั้น
ที่บริหารราชการนานกว่าหนึ่งปี แต่รัฐบาลทั้งสามชุดก็ไม่ได้ดำาเนินการใดๆ ตามที่รัฐธรรมนูญได้
กำาหนดไว้ ก่อให้เกิดผลตามมา ดังนี้
๑) ไม่มีความชัดเจนในประเภทของกิจการหรือโครงการที่เข้าข่ายส่งผลกระทบต่อชุมชน
อย่างรุนแรงตามนัยของ มาตรา ๖๗ วรรคสอง
๒) ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการทำาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการประเมิน
ผลกระทบสุขภาพสำาหรับกิจการหรือโครงการ ตามข้อ ๑)
๓) ไม่มีองค์การอิสระสิ่งแวดล้อมในการทำาหน้าที่ให้ความเห็นในกระบวนการรับฟัง
ความคิดเห็นของประชาชนที่ต้องจัดทำาสำาหรับกรณี ตามข้อ ๑)

