Page 81 - รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
P. 81
ต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก 55
รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการดำาเนินโครงการ ตามแนวทาง
การประเมินผลกระทบทางสังคมและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่สำานักงานนโยบายและแผน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำาหนดไว้ ดังนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า การดำาเนินการ
จึงสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่กำาหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวได้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีการจัดทำาหรือ
ปรับปรุงกฎหมายเพื่อกำาหนดรายละเอียดในการดำาเนินการสำาหรับโครงการที่อาจมีผลกระทบต่อ
ชุมชนอย่างรุนแรงเป็นการเฉพาะ
ส่วนการให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและ
สุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ
หรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า เนื่องจากในปัจจุบันยัง
ไม่มีการจัดตั้งองค์การอิสระดังกล่าวและการจัดตั้งองค์การเช่นว่านั้นจำาเป็นต้องมีกฎหมายกำาหนด
หลักเกณฑ์ในการจัดตั้งองค์การอิสระ การดำาเนินการจึงต้องมีการตรากฎหมายเพื่อกำาหนดหลักเกณฑ์
ในการจัดตั้งองค์การอิสระตามนัยมาตรา ๓๐๓ (๑) ก่อน
ประเด็นที่สอง ระหว่างที่ยังไม่มีการจัดทำาหรือปรับปรุงกฎหมายตามประเด็นที่หนึ่ง
หน่วยงานอนุญาตสามารถกำาหนดหลักเกณฑ์ในการดำาเนินการเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา ๖๗
วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้เองหรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า เมื่อพิจารณากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ปรากฏ
ว่ายังไม่มีกฎหมายที่กำาหนดหลักเกณฑ์ว่า โครงการหรือกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง
หมายถึง โครงการหรือกิจกรรมที่มีลักษณะอย่างไร รวมทั้ง การดำาเนินการศึกษาและประเมินผล
กระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน การจัดให้มีกระบวนการรับฟัง
ความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียสำาหรับโครงการหรือกิจกรรมดังกล่าว และการให้ความ
เห็นขององค์การอิสระจะต้องดำาเนินการอย่างไร เพื่อให้การดำาเนินการเป็นไปในแนวทางและมาตรฐาน
เดียวกัน คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่จะต้องดำาเนินการจัดทำาหรือ
ปรับปรุงกฎหมายกำาหนดรายละเอียดเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ให้เหมาะสม ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีตามที่รัฐธรรมนูญกำาหนดไว้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำาเนินการเป็น
ไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน เพราะหากให้แต่ละหน่วยงานเป็นผู้มีอำานาจกำาหนดหลักเกณฑ์
ในการดำาเนินการตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญได้เอง อาจส่งผลให้การดำาเนินการใน
โครงการหรือกิจกรรมเดียวกันมีความแตกต่างกันและมีหลายมาตรฐาน ด้วยเหตุผลดังกล่าว แต่ละ
หน่วยงานจึงไม่มีอำานาจกำาหนดหลักเกณฑ์ในการดำาเนินการได้เอง
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดทำาหรือปรับปรุงกฎหมาย คณะกรรมการ
กฤษฎีกาเห็นว่า หน่วยงานอนุญาตที่เกี่ยวข้องย่อมสามารถใช้ดุลพินิจประกาศให้รู้ทั่วไปว่า โครงการ
หรือกิจกรรมใดบ้างที่เห็นว่ามีผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรงตามมาตรา ๖๗ ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย แต่ต้องเข้าใจว่าการประกาศเช่นว่านั้นเป็นไปเพียงเพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน

