Page 17 - รายงานฉบับสมบูรณ์ เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
P. 17
4.2 ความท้าทายในการทำหน้าที่เป็นองค์กรหลักของประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
4.2.1 บทบาทนำระดับประเทศในเชิงการกำหนดนโยบายสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
สืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้ กสม. เป็นองค์กร
อิสระ แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้มีบทบาทในการวางกรอบนโยบายในลักษณะ
การเป็นแผนแม่บทระดับชาติเรื่องสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งในยุคแรกของ
การก่อตั้ง กสม. คณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน
นายกรัฐมนตรีและประธานคณะทำงาน ได้รับรองนโยบายและแผนปฏิบัติการ
แม่ด้านสิทธิมนุษยชนไปแล้วเมื่อ 17 ตุลาคม 2543 (รายงานผลการปฏิบัติงาน
ประจำปี 2546, 85) ทำให้ในระยะเวลาต่อมา เมื่อต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยเฉพาะ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 247 วรรค 3
ที่ว่า เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ
มนุษยชนต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดทั้ง
การแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับ
หลักสิทธิมนุษยชน จึงขาดพลัง ขาดทิศทางและความชัดเจนในการถือปฏิบัติ
ร่วมกันทั้งประเทศ ในขณะที่ แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่จัดทำโดยกรม
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งหากพิจารณาตามลำดับ
กฎหมายอาจจะมีสถานะความน่าเชื่อถือในระดับชาติและระดับนานาชาติน้อย
กว่าแผนแม่บทขององค์กรสิทธิมนุษยชนระดับชาติถ้าหากว่า กสม. สามารถ
ผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง
4.2.2 การรักษามาตรฐานตามหลักการปารีสภายใต้การเมืองการปกครองที่ไม่เป็น
ประชาธิปไตยมากนัก สืบเนื่องจากไทยเข้าเป็นสมาชิกของเครือข่ายพันธมิตร
ระดับโลกว่าด้วยสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (GANHRI) ซึ่งเป็นองค์กรที่
ช่วยเหลือสมาชิกให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นในการ
ปกป้องคุ้มครองและส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยเครือข่ายได้มี
ข้อกำหนดของหลักการปารีสเป็นแนวทางในการถือปฏิบัติร่วมกัน เพื่อเป็น
หลักประกันว่าสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของรัฐต่าง ๆ จะมีความเป็นอิสระ
ในการทำหน้าที่ เพื่อที่จะ (1) ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (2) แนะนำรัฐบาลในเรื่อง
การปกป้องสิทธิมนุษยชน (3) ทบทวนกฎหมายสิทธิมนุษยชน (4) เตรียม
รายงานสิทธิมนุษยชน (5) รับและสอบสวนเรื่องราวร้องทุกข์จากสาธารณชน
แต่ด้วยเงื่อนไขทางสังคมการเมืองไทยที่ยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก และ
ประชาธิปไตยไม่ได้หยั่งรากลึกอย่างมั่นคงเพียงพอ ตลอดจนวัฒนธรรมการ
เคารพสิทธิมนุษยชนยังเป็นประเด็นที่ขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง
ในสังคม โดยเฉพาะในฝ่ายผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายและออกกฎหมาย
ต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปารีส ดังนั้น จึงยังมีนโยบายและกฎหมาย
บางประการที่ไม่เอื้อให้การทำงานภายใต้หลักการปารีสมีความต่อเนื่องและ
เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ชัดมากนัก
4.2.3 การปรับปรุงโครงสร้างและยกระดับคุณภาพการทำงานของบุคลากร
4.2.3.1 การปรับโครงสร้างองค์กรให้เอื้อต่อการทำงานในเชิงบูรณาการความ
ร่วมมือภายในให้มากขึ้น เนื่องจากการจัดโครงสร้างที่มีอยู่เดิมเป็นลักษณะ
เป็นแท่ง (silo) และขาดการไหลเวียนของการสื่อสารภายในองค์กรแนว
ระนาบ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งต่อและติดตามงาน
-13-