Page 150 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 150

141




                  ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้นําหลักการที่เรียกว่า การเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม (Positive discrimination)
                  เพื่อยืนยันว่าในกรณีที่มีการเลือกปฏิบัติ รัฐสามารถกระทําได้หากการเลือกปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปเพื่อการขจัด

                  อุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น นอกจากนี้เพื่อเป็นการคุ้มครอง
                  ความเสมอภาคเท่าเทียม รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้รัฐมีหน้าที่ในการดําเนินนโยบายด้านต่างๆ รวมถึงการดําเนิน
                  นโยบายด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อประกันหลักความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย ซึ่งบุคคลต้อง
                  ได้รับความคุ้มครองโดยไม่แบ่งแยก อาทิ การดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้อง
                  รวดเร็ว เป็นธรรมและทั่วถึง เป็นต้น

                                         การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมนี้จึงถูกอธิบายว่า หมายถึง การเลือกปฏิบัติที่ปราศจาก
                  เหตุผลหรือไร้เหตุผล ถ้าเป็นเหตุผลที่คนทั่วไปยอมรับก็จะไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม การกระทําใด
                  จะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ พิจารณาจาก 2 ปัจจัยประกอบกัน คือ การปฏิบัติที่แตกต่างและ

                  ลักษณะที่ไม่เป็นธรรม การที่บุคคลได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง เพราะถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ และ
                  ศาสนา โดยที่การปฏิบัตินั้นมีเหตุผลอันหนักแน่นที่คนทั่วไปยอมรับ การปฏิบัติเช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการเลือก
                  ปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
                                         แม้กฎหมายจะพยายามบัญญัติถึงความเสมอภาค และห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติที่

                  ไม่เป็นธรรม แต่แนวคิดต่างๆ นี้จะไปสู่จุดมุ่งหมายที่เป็นจริงได้ ก็ต้องอาศัยการทํางานของกลไกทางกฎหมาย
                  กระบวนการยุติธรรมที่ถูกใช้ในศาล การตีความกฎหมาย การศึกษากลไกต่างๆ เหล่านี้สรุปผลได้ดังนี้
                                         ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายว่า  บุคคลย่อมมีความเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย  และ
                  ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมาย  ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน  หากบุคคลมีความแตกต่างกันด้วยถิ่น

                  กําเนิด เชื้อชาติ สภาพทางกาย สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม อาจปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้
                  แตกต่างกันได้ แต่จะเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้ ซึ่งการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม คือ การเลือกปฏิบัติ
                  ที่ทําให้เกิดความไม่เสมอภาคแก่บุคคล แต่หากการเลือกปฏิบัตินั้นเป็นมาตรการเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริม
                  ให้เกิดความเสมอภาค  โดยทําให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น  เป็นการเลือก

                  ปฏิบัติที่เป็นธรรม (คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 50/2545, 48/2545, 10/2549)
                                         ศาลปกครองได้อธิบายว่า หลักความเสมอภาคนั้นได้วางไว้ให้องค์กรต่างๆ ของรัฐ
                  รวมถึงฝุายปกครองต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่เหมือนกันในสาระสําคัญอย่างเดียวกันและปฏิบัติต่อบุคคลที่แตกต่าง

                  ในสาระสําคัญที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละคน  การที่บุคคลใดมีความแตกต่างแต่ได้รับ
                  การปฏิบัติที่เหมือนกัน หรือบุคคลที่เหมือนกันได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง ย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาค ดังนั้น
                  ความเสมอภาคไม่ได้บังคับให้ต้องปฏิบัติต่อแต่ละบุคคลเหมือนกัน แต่หลักความเสมอภาคเห็นควรที่จะปฏิบัติ
                  ต่อแต่ละบุคคลให้แตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล หากบุคคลมีสาระสําคัญเหมือนกัน ก็ต้อง
                  ปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นให้เหมือนกัน การวินิจฉัยของศาลปกครอง เกี่ยวกับความหมายของการเลือกปฏิบัติที่

                  ไม่เป็นธรรม ศาลได้อ้างถึงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 30 วรรคสามที่กําหนดความแตกต่างไว้
                  ดังนี้ ถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกาย หรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ
                  หรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หากนํา
   145   146   147   148   149   150   151   152   153   154   155