Page 482 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 482
458
ข้อสังเกต : อนุสัญญานี้ มีผลบังคับใช๎กับประเทศไทยตั้งแตํวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2546 แตํมีการตั้ง
ข๎อสงวนในข๎อ 4 นี้ ต่อมาในปี 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ถอนข้อสงวนดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ไทยต้อง
พิจารณาว่ากฎหมายไทยที่มีอยู่สอดคล้องกับข้อ 4 ของอนุสัญญาหรือไม่ โดยมติคณะรัฐมนตรี มีการ
กล่าวว่า “....ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและส านักงานสภาความ
มั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับความพร้อมของประเทศไทยต่อการถอนข้อสงวนข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา
CERD ซึ่งประเทศไทยสามารถถอนข้อสงวนดังกล่าวได้โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ โดยได้อ้างอิงถึง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั้น โดยที่กฎหมายเหล่านั้น
ยังไม่ได้ก าหนดฐานความผิดเฉพาะตามข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา CERD อีกทั้งบทลงโทษระบุเพียง
กว้าง ๆ ไม่ระบุโทษที่ชัดเจนตามความผิดที่ปรากฏในอนุสัญญา CERD แต่เป็นการระบุโทษส าหรับ
ความผิดเกี่ยวกับการให้ร้ายและสร้างความเกลียดชัง จึงต้องอาศัยการตีความกฎหมายเหล่านั้นเป็นราย
กรณีว่า รวมถึงการกระท าที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติหรือไม่…” 445 จะเห็นได้ว่า จากการ
ถอนข้อสงวนนั้นโดยหลักแล้วไทยต้องมีพันธกรณีในการตรากฎหมายโดยเฉพาะตามข้อ 4 (ก) ซึ่ง
เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ควบคุม “Hate speech” อย่างไรก็ตาม จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะเห็นได้
ว่ามีการกล่างถึงกฎหมายที่มีอยู่ (Existing laws) ของไทยว่า “ยังไม่ได้ก าหนดฐานความผิดเฉพาะ” และ
ต้อง “อาศัยการตีความเป็นรายกรณีไป” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประมวลกฎหมายอาญา และ
446
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Convention on
the Prevention and Punishment of the Crime of Genocide 1948)
ข๎อ 3 (a) มีหลักวํา
“การยั่วยุโดยตรงและตํอสาธารณะให๎เกิดการฆําล๎างเผําพันธุ์สามารถถูกลงโทษได๎”
445 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 มิถุนายน 2559 https://cabinet.soc.go.th/soc/Program2-3.jsp?top_serl=99319738
446
โปรดดูการวิเคราะห์เพิ่มเติมในภาคผนวก