Page 46 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 46

๒๙




                   ขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด มีจ านวนสูงผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับจ านวนคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น
                   ในช่วง ๒ ปีก่อน (พ.ศ. ๒๕๔๔ และ พ.ศ. ๒๕๔๕) และหลัง (พ.ศ. ๒๕๔๗ และ พ.ศ. ๒๕๔๘)

                   การด าเนินนโยบายดังกล่าว โดยในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน  ๒๕๔๔ พ.ศ. ๒๕๔๕
                   พ.ศ. ๒๕๔๗ และ พ.ศ. ๒๕๔๘ มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ ๔๕๔ คดี แต่ในช่วงระหว่างเดือน
                   กุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ๒๕๔๖ ที่มีการด าเนินนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้ขั้น
                   แตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ ๘๕๓ คดี หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ
                   ๘๗.๘๙ ต่อเดือน

                                         ๑.๓.๓ กำรร้องเรียนเกี่ยวกับกำรกระท ำอันเป็นกำรละเมิดสิทธิมนุษยชน

                                         การออกนโยบายที่แข็งกร้าวเอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหายาเสพติด
                   การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้กระท าความผิดด้านยาเสพติดอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ประกอบกับการบังคับใช้

                   กฎหมายอย่างเด็ดขาด  ของรัฐบาลในขณะนั้น ท าให้มีผู้ค้ายาเสพติดหลายคนถูกเจ้าหน้าที่กระท า
                   “วิสามัญฆาตกรรม”  และบางรายถูก  “ฆ่าตัดตอน”  ทั้งนี้  พ.ต.ท.ดร.ทักษิณฯ  ซึ่งเป็นผู้ก าหนด
                   แนวทางการด าเนินนโยบายฯ  ออกมาในรูปแบบของการประกาศสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติด
                   ตลอดจนหน่วยงานที่น านโยบายฯ  ไปปฏิบัติ  ต่างก็ต้องเผชิญกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์การ

                   สหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน  หรือหน่วยงานของไทยที่ก ากับดูแล
                   ด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของประชาชน จากนักวิชาการชาวไทยและชาวต่างประเทศ
                   รวมทั้งจากสื่อมวลชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เกี่ยวกับการออกนโยบายฯ ที่รุนแรงจนส่งผลให้
                   เกิดการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้กระท าความผิดด้านยาเสพติดอย่างเกินกว่าเหตุและไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้

                   เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนี้
                                         (๑) องค์กรสิทธิมนุษยชนภำยในประเทศ
                                         หลังจากที่การประกาศสงครามกับยาเสพติดเริ่มต้นไปได้ไม่นานการ
                   ปฏิบัติงานของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  เริ่มเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชน

                   ภายในประเทศนับตั้งแต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย  ซึ่งออกมากล่าวถึงการ
                   ด าเนินการปราบปรามยาเสพติดดังกล่าวว่า  เป็นการกระท าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน  และได้ออก
                   แถลงการณ์ผ่านจดหมายเปิดผนึกถึง พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  เรื่อง  “ขอให้ยุติการปราบปราม

                   ยาเสพติดที่ใช้ความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชน” ซึ่งเห็นว่า การขึ้นบัญชีด า การวิสามัญฆาตกรรม
                   และการฆ่าตัดตอน  เป็นสิ่งที่น าสังคมไทยไปสู่มิคสัญญี  และได้เรียกร้องให้รัฐบาลระงับมาตรการ
                   ปราบปรามยาเสพติดที่ใช้ความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชน  และให้สั่งการไปยังกรมสอบสวน
                   คดีพิเศษให้เร่งตรวจสอบการเสียชีวิตของผู้ที่ถูก  “วิสามัญฆาตกรรม”  และถูก  “ฆ่าตัดตอน”
                   และชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน โดยนายวสันต์ พานิช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)

                   ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การจัดท าบัญชีรายชื่อผู้ค้ายาเสพติดขาดการอ้างอิงหลักฐานที่ชัดเจนและไม่มีพยาน
                   ยืนยันได้แน่ชัดว่า บุคคลที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดจริงหรือไม่ และ
                   สาเหตุส าคัญอีกประการหนึ่งที่ท าให้มีผู้ถูกฆ่าตัดตอนเป็นจ านวนมากคือ การตีความของผู้ปฏิบัติงาน

                   ดังจะเห็นได้จากการที่ศูนย์ต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดระดับอ าเภอแห่งหนึ่ง  ซึ่งจัดเป็นองค์กร
                   ที่น านโยบายไปปฏิบัติ  ได้ระบุไว้ในตอนท้ายของหนังสือที่แจ้งให้ผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีมารายงานตัวต่อ
                   ศูนย์ฯ  ว่า  “หากไม่มารายงานตัวจะไม่รับรองความปลอดภัยในทุกกรณี”  และด้วยเหตุนี้
                   คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงได้รับการร้องเรียนจากญาติของผู้ที่ได้รับความเสียหายให้ช่วย
   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51