Page 45 - รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2558 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
P. 45

ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย
                   ควรแก้ไขพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑
          มาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง โดยให้สถานพยาบาลแจ้งสิทธิการรักษากรณี
          เจ็บป่วยฉุกเฉินแก่ผู้ป่วยหรือญาติ และให้เบิกจ่ายค่ารักษาจาก
          ส�านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และแก้ไขกฎกระทรวงก�าหนด
          ความเสียหายที่จะให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น จ�านวนเงินค่าเสียหาย
          เบื้องต้น การร้องขอรับและการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น พ.ศ. ๒๕๕๒
          ข้อ ๓ จากเดิมเป็นจ�านวนเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินสามหมื่นบาท ส�าหรับ
          ความเสียหายต่อร่างกายตามข้อ ๒ (๑) โดยตัดค�าว่าแต่ไม่เกินสามหมื่น
          บาทออก
                 ผลการด�าเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
                   คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๘
          รับทราบรายงานผลการพิจารณาฯ ของ กสม. และผลการ
          ด�าเนินการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ กล่าวคือ นโยบาย  แก้ปัญหาของประชาชนในเรื่องนี้ ส่วนมาตรการควบคุมอัตรา
          เจ็บป่วยฉุกเฉินมีส่วนช่วยให้ประชาชนสามารถรับบริการฉุกเฉินทาง   ค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน ปัจจุบันด�าเนินการโดยใช้
          การแพทย์เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ควรปรับปรุง คือ อัตราการจ่ายค่าชดเชย   พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ และประกาศกระทรวง เรื่อง
          แก่โรงพยาบาล  เกณฑ์วินิจฉัยกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินและ   มาตรฐานการบริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินของสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๗
          พ้นภาวะฉุกเฉิน การประชาสัมพันธ์แก่ผู้ให้บริการและประชาชน ระบบ   รวมทั้งได้เสนอไปยังกรมการค้าภายในเพื่อก�าหนดให้ค่าบริการ
          ส�ารองเตียงและส่งต่อผู้ป่วยที่พ้นภาวะฉุกเฉิน ควรให้สถาบันการแพทย์   การแพทย์ฉุกเฉินเป็นสินค้าควบคุม กระทรวงพาณิชย์ ตามหนังสือ
          ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เป็นหน่วยดูแลระบบการแพทย์ฉุกเฉิน แนวทาง   ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๘ แจ้งว่า การก�าหนดเป็นสินค้าหรือบริการ
          ที่จะด�าเนินการต่อไป คือ จัดให้มีกลไกท�าหน้าที่บริหารจัดการระบบ    ควบคุมจะต้องเสนอคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
          ตรวจสอบระบบการเบิกจ่ายค่าบริการ และรับอุทธรณ์เรื่องร้องเรียน    (กกร.) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒



               เรื่องที่ ๓ เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ และการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
           กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ


               กสม.  ได้มีมติเห็นควรให้มีการตรวจสอบ  ค�าร้องที่   เห็นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งการนับถือศาสนา
          ๑๙๕/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ กรณีโรงเรียนมัธยม  กสม. จึงเสนอรายงานผลการพิจารณาเสนอแนะนโยบาย
          วัดหนองจอก ห้ามนักเรียนหญิงมุสลิมแต่งกายตามหลักศาสนา  หรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง เสรีภาพในการถือศาสนา
          อิสลาม (สวมฮิญาบ) อ้างว่าผิดระเบียบโรงเรียนเพราะบริเวณที่ตั้ง   เสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ และการเลือก
          โรงเรียนเป็นที่ธรณีสงฆ์ และมีผู้ร้องได้ร้องเรียนต่อ กสม. เป็น  ปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวม
          ค�าร้องที่ ๒๒๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ขอให้มี  ฮิญาบ เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวง
          การเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายด้าน  สาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริม
          สิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนา และการเลือกปฏิบัติที่ไม่  การปกครองท้องถิ่น) กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวง
          เป็นธรรม กรณีการห้ามสตรีที่นับถือศาสนาอิสลามสวมฮิญาบ   พาณิชย์ ส�านักงานคณะกรรมการก�ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
          เนื่องจากบุตรสาวของผู้ร้องได้สมัครเข้าท�างานบริษัทเอกชน และ  สภาการพยาบาล สรุปได้ ดังนี้
          บริษัทดังกล่าวมีกฎห้ามบุคคลสวมฮิญาบเวลาท�างาน ซึ่งผู้ร้อง

















                                    รายงานผลการปฏิบัติงานประจ�าปี ๒๕๕๘  44  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50