Page 36 - สรุปผลการสัมมนา เรื่อง ธุรกิจท่องเที่ยวและการโรงแรมกับการเคารพสิทธิมนุษยชน ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติ ตามกรอบงานขององค์การสหประชาชาติ ในการคุ้มครอง เคารพ และเยียวยา : วันที่ 17 มิถุนายน 2559 ณ โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ทแอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต
P. 36
35
๑. การจัดการของรัฐ โดยรัฐมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนและสร้างให้เกิดทางการเคารพสิทธิ
มนุษยชนไม่ใช่รัฐเป็นผู้บังคับ แต่กฎหมายเท่านั้นเป็นผู้บังคับโดยรัฐเป็นผู้เอื้อให้เกิดช่องทางเข้าสู่การบังคับตาม
กฎหมาย ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ส าคัญที่สุดของหลักการ UNGP คือการใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมและเสมอภาค
ปัญหาในปัจจุบัน คือ เราถูกละเลยจากการใช้กฎหมายโดยคนของรัฐเพื่อเอื้ออ านวยให้เกิดสิทธิมนุษยชนใน
ภาคธุรกิจ โดยคนของรัฐ ได้แก่ ผู้สร้างนโยบายด้านกฎหมาย ผู้ก ากับนโยบายด้านกฎหมาย ผู้ปฏิบัติตามโน
บายตามกฎหมาย
๒. ข้อแนะน า เรื่องการปฏิบัติการขององค์กรธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชนตามนโยบาย
ของรัฐตามข้อ ๑. นั้น การปฏิบัติงานขององค์กรธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนไม่ใช่การเคารพสิทธิมนุษยชน
เฉพาะพนักงานภายในองค์กร แต่ต้องรวมถึงการเคารพต่อด้านอื่นๆ เช่น สิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งหลักพื้นฐานใน
การปฏิบัติของภาคธุรกิจ คือ ต้องมีจริยธรรมทางธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย 1) การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพโดยไม่
โกง 2) ไม่ใช้วัตถุดิบที่มาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยถูกต้องตามกฎหมายและสามารถบอกได้ว่าการ
ด าเนินการตลอดสายในภาคธุรกิจไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
๓. ตามหลักการ UNGP ในเรื่องความจ าเป็นที่จะต้องมีมาตรการสอดคล้องกับการเยียวยา
โดยหลักแล้วมีกฎหมายที่มีการบังคับให้หน่วยงานต่างๆต้องท าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นนอกเหนือจาก
กฎหมาย คือ จากจริยธรรมธุรกิจ ดังนี้
๑) เรื่อง CSR ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์กรส่วนใหญ่ปฏิบัติกันอยู่แล้ว
๒) การธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะเป็นหลักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupation
Health Safety-OHS) หรือการเคารพสิทธิมนุษยชนในรูปแบบการบริหารงานบุคคล (HR) เช่น ให้มีการ
ปฏิบัติงานที่มีความปลอดภัยในสถานที่ท างาน การได้รับสิทธิการได้รับการรักษาพยาบาล เป็นต้น
๓) การเยียวยาบุคลากรโดยตรง เนื่องจากธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรม
เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างผิดเวลา จากงานวิจัยในธุรกิจโรงแรมร้อยละ ๕๐ ของการท างานคือเรื่อง ทักษะ
ประสบการณ์และความชอบ อีกร้อยละ ๕๐ คือเรื่องความพึงพอใจ เมื่อใดที่เกิดความไม่พอใจเกินกว่าร้อยละ
๕๐ ก็จะมีการลาออกเปลี่ยนงานเกิดขึ้น ซึ่งท าให้พนักงานในธุรกิจโรงแรมมีการลาออกและเปลี่ยนงานกันบ่อย
จึงต้องมี การรองรับการออกจากงาน เงินทดแทน เป็นต้น ซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว
ในส่วนข้อตกลงในทวิภาคีต่างๆในปัจจุบัน มีการโยงเรื่องแรงงานกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้า
มาเกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศด้วย และมีการบังคับใช้ภาคธุรกิจโดยผ่านช่องทางกฎหมายแรงงาน
ซึ่งจากข้อตกลงของประชาคมอาเซียน ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศได้โดยมีข้อก าหนด
เรื่อง ใบรับรอง (Certificated) แต่ปัญหาคือประเทศไทยยังก าหนดข้อบังคับไม่ทัน รวมทั้งมีผลต่อการเรื่องสิทธิ
มนุษยชนที่ก าหนดให้มีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งข้อก าหนดของสหประชาชาติมักเอื้อแก่ต่างชาติจนท า
ให้แรงงานต่างชาติเหลื่อมล้ ากับแรงงานไทย แล้วจะแก้ปัญหาให้แรงงานไทยอย่างไร
สุดท้ายนี้ สรุปว่า จากหลักการ UNGP นั้น แม้ว่ารัฐจะมีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอยู่
แล้วแต่สิ่งที่ยังขาด คือ รัฐต้องใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมและเสมอภาค และต้องอยู่ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนและ
ชี้แนะให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนของภาคธุรกิจ เช่น การออกข้อบังคับกฎหมายในน าหลัก OHS มาใช้กับ
เรื่องสาธารณสุขในระบบธุรกิจโรงแรม เช่น F&B Room ฯลฯ
น ำเสนอเพื่อพิจำรณำในกำรประชุมคณะอนุกรรมกำรด้ำนสิทธิทำงเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
ครั้งที่ 19/2559 วันจันทร์ที่ 4 กรกฎำคม 2559