Page 57 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 57

ข้อ ๑๔
                           ๒.  บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำาผิดอาญา ต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็น

                 ผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด




                 ๕.  คว�มเห็นคณะอนุกรรมก�รสิทธิมนุษยชนด้�นกฎหม�ยและก�รปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม


                       ๕.๑ ความเห็นคณะอนุกรรมการฯ
                           คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านกฎหมายและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมได้พิจารณา

                 ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องโดยตลอดแล้วเห็นว่า มีประเด็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัย คือ
                 การที่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำารวจนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบ

                 คำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เป็นการกระทำาหรือการละเลยการกระทำาอันเป็น
                 การละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๕

                 มาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐  ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๑๑  และกติการะหว่างประเทศ
                 ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๑๐ และข้อ ๑๔ หรือไม่ อย่างไร

                           จากการรับฟังข้อมูลและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุ
                 ประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยส่วนใหญ่แต่ละหน่วยงานจะมีข้อคิดเห็น

                 ที่ตรงกัน ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเด็น ดังนี้
                           ประเด็นที่ ๑ การนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ เนื่องจาก

                 ประเทศไทยใช้ระบบกล่าวหาจึงต้องมีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดของจำาเลย ซึ่งคดีอาญาบางคดี
                 มีประจักษ์พยานและพยานหลักฐานที่หาได้โดยง่าย  แต่ในหลายๆ คดีที่ไม่มีประจักษ์พยาน และพยาน

                 หลักฐานหาได้โดยยาก จึงทำาให้ต้องหาพยานหรือเหตุแวดล้อมประกอบ  รวมทั้งวัตถุพยานหลักฐาน
                 ต่างๆ เช่น อาวุธที่ใช้ในการกระทำาความผิด ซึ่งหากไม่นำาตัวผู้ต้องหาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุ ก็จะทำาให้ไม่ได้

                 พยานหลักฐานประกอบการพิสูจน์ที่เกิดเหตุเพื่อให้พบพยานหลักฐานต่างๆ เช่น เส้นผม เสื้อผ้าของ
                 ผู้กระทำาผิด เป็นต้น  โดยคดีที่ไม่มีพยานหลักฐานมีความจำาเป็นที่จะต้องนำาพยานหลักฐานมาประกอบ

                 โดยการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ ซึ่งต้องดำาเนินการโดย
                 ได้รับความยินยอมจากผู้ต้องหา  โดยในการทำาแผนการนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ  พนักงาน

                 สอบสวนควรระบุไว้ด้วยว่าได้ดำาเนินการแจ้งสิทธิต่างๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
                 มาตรา ๑๓๔/๔ วรรคท้าย  โดยให้ผู้ต้องหาลงลายมือชื่อให้ความยินยอม  และรับทราบว่าพนักงาน

                 สอบสวนได้ดำาเนินการตามที่กฎหมายบังคับไว้  โดยจัดทำาเป็นเอกสารหรือเป็นลายลักษณ์อักษร
                 เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหา ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

                 พุทธศักราช ๒๕๕๐  มาตรา ๓๙ วรรคสอง บัญญัติว่า “ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า
                 ผู้ต้องหาหรือจำาเลยไม่มีความผิด”  และวรรคสาม บัญญัติว่า “ก่อนมีคำาพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่า

                 บุคคลใดได้กระทำาความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนผู้กระทำาความผิดมิได้”  รวมทั้งเพื่อให้
                 สอดคล้องตามมาตรา ๔๐  ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้


            56

            สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
            กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62