Page 232 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2557
P. 232
รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำาปี ๒๕๕๗ 231
เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการลงทุนสาขาธุรกิจค้าปลีกด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากผลกระทบที่มีต่อร้านค้าปลีก
ดั้งเดิมแล้ว ผลการศึกษาวิจัยยังได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบทางสังคมของการรับนโยบายการเปิดเสรี
ทางการค้า (ธุรกิจค้าปลีก) ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัย
สำาคัญต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชุมชนในระยะยาวอีกด้วย หากแต่การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นจากการปลุกปั่น มิได้เกิดขึ้นตามความต้องการของชุมชน และมีพยานหลักฐานที่ยืนยันว่า
สิทธิของชุมชนที่จะเลือกวิถีชีวิตที่เหมาะสม และความสุขทางสังคมที่ยั่งยืนได้ถูกทำาลายไป เพราะการ
ยอมรับให้กระบวนการค้าปลีกเข้าแทรกซึมวิถีชีวิตของชุมชน เพื่อประโยชน์ทางการค้าและการค้ากำาไร
อย่างปราศจากข้อจำากัด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรการทางกฎหมายของต่างประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า มีการใช้มาตรการทางกฎหมายในลักษณะของการกำาหนดรายละเอียด
ปลีกย่อยทางอ้อม ในการป้องกันผลกระทบของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีต่อร้านค้าดั้งเดิมท้องถิ่น เช่น
การจัดระเบียบการจราจร การจัดระเบียบพื้นที่ตั้ง หรือมาตรการเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น งานวิจัยนี้
พบว่า มาตรการทางกฎหมายมิได้เป็นปัจจัยที่มีนัยสำาคัญในการปกป้องร้านค้าดั้งเดิมท้องถิ่น แต่ปัจจัย
ที่ทำาให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ไม่กลืนกินร้านค้าปลีกดั้งเดิมท้องถิ่นหรือร้านค้ากลุ่มทุนชาติ ได้แก่
“การสร้างจิตสำานึกร่วมกัน” ของปัจเจกชน ชุมชน และสังคม ให้ตระหนักถึงคุณค่าในความดีของการมีอยู่
ของร้านค้าปลีกดั้งเดิมท้องถิ่น ซึ่งเปรียบได้กับ “กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจชุมชน” และความงามของ
ความหลากหลายในการประกอบอาชีพของคนท้องถิ่น โดยยึดโยงกับกระบวนทัศน์เรื่องการพัฒนาที่สมดุล
อย่างยั่งยืนอันมีสิทธิมนุษยชนควบคู่กับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาประเทศสืบไป
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาวิจัยดังกล่าว ผู้วิจัยได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังต่อไปนี้
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ควรทบทวนการอนุญาตในเรื่องการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่โดยชะลอไว้เป็นการ
ชั่วคราวก่อน และพิจารณาถึงความเปราะบางของชุมชน โดยรัฐต้องปกปักษ์รักษาสิทธิมนุษยชนควบคู่
ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทิศทางพัฒนาประเทศของไทยควรวางอยู่บนกรอบความคิดเรื่อง “การพัฒนา
อย่างยั่งยืน” (Sustainable Development) ตามที่ได้กำาหนดอยู่ในแผนพัฒนาประเทศและแนวนโยบาย
พื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน รัฐต้องบูรณาการกรอบความคิดในการบริหารงานของภาครัฐ
โดยการบริหารปกครองของภาครัฐในระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องคำานึงถึงสิทธิในการพัฒนา ซึ่งมีหลัก
สำาคัญประการแรกว่า ภาครัฐมีหน้าที่จัดระเบียบทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมต่อการพัฒนาคุณภาพสังคม
และสิ่งแวดล้อม ประการที่สอง ภาครัฐมีหน้าที่ต้องกระจายรายได้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คนในสังคม
และประการสุดท้าย คือ การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ นโยบายข้างต้นต้องได้รับการถ่ายทอดไปสู่
หน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน
มีความจำาเป็นอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างจริงจังโดยก่อนที่จะดำาเนิน
มาตรการในทางปฏิบัติใด ๆ ภาครัฐควรมีการชะลอการอนุญาตขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ไว้เป็น
การชั่วคราวก่อน จนกว่าจะแน่ใจว่ารัฐมีกลไกคุ้มครองที่พร้อมเพรียงแล้ว