Page 167 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 2 ระหว่าง มกราคม - มิถุนายน 2558
P. 167
165
ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๒ ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘
ผู้ให้บริการฯ ที่กระทำาละเมิดต่อผู้เสียหายโดยตรง อันเป็นการรอนสิทธิและตัดสิทธิในการฟ้องคดีต่อผู้กระทำา
ละเมิดอย่างกว้างขวาง ดังนั้น ร่างมาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง ควรตัดบทบัญญัติ “... แต่จะฟ้องผู้ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบ
หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเกิดผลกระทบไม่ได้” ออก
๕.๑.๘ ประเด็นที่ ๘ การเสนอรายงานการจ่ายเงินชดเชยต่อศาล
ร่างมาตรา ๒๗ วรรคสอง กำาหนดให้สำานักงานทำารายงานการจ่ายเงินชดเชยส่งไปยังศาล
ที่พิจารณาคดีที่กองทุนถูกฟ้องคดี
คว�มเห็นและข้อเสนอ
เมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาล ศาลมีอำานาจในการเรียกพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณา
คดีอยู่แล้ว ดังนั้น ร่างมาตรา ๒๗ วรรคสอง ไม่จำาเป็นต้องบัญญัติไว้
๕.๑.๙ ประเด็นที่ ๙ เขตอำานาจศาล
ในร่างพระราชบัญญัติฯ ไม่ได้กำาหนดว่าให้ศาลใดมีอำานาจพิจารณาคดี
คว�มเห็นและข้อเสนอ
เมื่อพิจารณากระบวนการต่างๆ ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ที่กำาหนดให้การขอรับเงิน
ชดเชยกรณีที่เกิดความเสียหายจากการบริการสาธารณสุข ต้องยื่นคำาขอรับเงินชดเชยต่อกรมสนับสนุนบริการ
สุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข หรือหน่วยงานหรือองค์กรที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
กำาหนด ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินชดเชย ซึ่งประกอบด้วยผู้แทน
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข หรือคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินชดเชยประจำาจังหวัด
ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนสำานักงานสาธารณสุขจังหวัดด้วย และเมื่อคณะอนุกรรมการดังกล่าวพิจารณาแล้ว
หากผู้ยื่นคำาขอไม่พอใจกับจำานวนเงินชดเชยที่คณะอนุกรรมการฯ วินิจฉัย ต้องโต้แย้งโดยอุทธรณ์ต่อ
คณะกรรมการกองทุนคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากการบริการสาธารณสุข ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
สาธารณสุข เป็นประธาน และคณะกรรมการฯ อาจมอบหมายหรือมอบอำานาจให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐดำาเนินการแทนได้ และเงินของกองทุนก็มีที่มาจากเงินของรัฐ
ด้วยแล้ว เห็นว่า กระบวนการต่างๆ ตามร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นกระบวนการทางปกครอง ซึ่งศาลปกครอง
มีอำานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำาสั่งในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำาการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม
มาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงควรกำาหนดให้
ศาลปกครองมีอำานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำาสั่งในคดีพิพาทดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม อาจมีคดีพิพาทระหว่างผู้รับบริการสาธารณสุขและผู้ให้บริการสาธารณสุข
โดยตรง ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนต่อเอกชน ในกรณีดังกล่าวต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ
ศาลยุติธรรม โดยคู่พิพาทสามารถยกสิทธิขึ้นต่อสู้ได้ตามหลักการที่ปรากฏในมาตรา ๒๘ ของรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
๕.๑.๑๐ ประเด็นที่ ๑๐ การออกคำาสั่งของเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่มีอำานาจหน้าที่หลายประการ เช่น การพิจารณาคำาขอรับเงินชดเชย การกำาหนด
จำานวนเงินชดเชย การวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นต้น ซึ่งมีผลเป็นคำาสั่งทางปกครอง