Page 166 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 2 ระหว่าง มกราคม - มิถุนายน 2558
P. 166

164   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                  ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๒  ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘


               มาตรา ๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ประกอบหลักการที่ปรากฏ

               ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ (๑)  รับรองและคุ้มครองสิทธิเข้าถึง
               กระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง  ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายจากการบริการ

               สาธารณสุขและผู้เสียหายได้รับการเยียวยาแต่เห็นว่าการเยียวยานั้น ล่าช้า ไม่เป็นธรรม หรือไม่เพียงพอกับ
               ความเสียหาย  ผู้เสียหายก็ควรที่จะสามารถใช้กระบวนการอื่นๆ ต่อไปได้  ซึ่งการทำาสัญญาประนีประนอม
               ยอมความเป็นเพียงข้อมูลประกอบการพิจารณาของศาลเมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาลเท่านั้น  กรณีที่ผู้เสียหายรับเงิน
               ชดเชยความเสียหายแล้ว และมีการจัดทำาสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ควรถูกตัดสิทธิการฟ้องคดีต่อศาล


                           ๕.๑.๗  ประเด็นที่ ๗  กรณีการดำาเนินการก่อนฟ้องคดีต่อศาล
                                 ๑)  ร่างมาตรา ๒๒  กำาหนดให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการบริการสาธารณสุขตาม

               ร่างพระราชบัญญัตินี้ ต้องดำาเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำาหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ ก่อน  จึงจะ
               ฟ้องคดีต่อศาลได้  หากไม่ได้ดำาเนินการและความปรากฏแก่ศาล ให้ศาลสั่งจำาหน่ายคดีออกจากสารบบความ

                                 คว�มเห็นและข้อเสนอ

                                 สิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ได้รับความยุติธรรมและเยียวยาความเสียหายเป็นสิทธิ
               ขั้นพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน  จึงไม่ควรนำาเงื่อนไขให้ต้องดำาเนินการต่างๆ ตามร่างพระราชบัญญัติฯ

               ก่อนแล้วจึงมีสิทธิในการมาฟ้องร้องดำาเนินคดีต่อศาล  และหากผู้เสียหายจากการบริการสาธารณสุขเห็นว่า
               การดำาเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กำาหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้ก่อน  เป็นการเพิ่มภาระและเสียเวลา
               เพิ่มมากขึ้น  และประสงค์ที่จะใช้กระบวนการยุติธรรมของศาลเมื่อใดก็เป็นสิทธิที่สามารถดำาเนินการฟ้องเป็นคดี

               ในศาลได้ เพราะการฟ้องร้องคดีต่อศาลก็เพื่อให้ศาลได้พิจารณาคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย และควรถือว่าการ
               ใช้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลก็ดี หรือการที่จะใช้สิทธิในการดำาเนินการตามพระราชบัญญัติก็ดี เป็นสิทธิที่ผู้เสียหาย
               มีอิสระในการเลือกใช้สิทธินั้น ดังนั้น ร่างมาตรานี้จึงสมควรตัดออก

                                 ๒) ร่างมาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง  กำาหนดให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
               ยุติการดำาเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฯ  หากผู้ได้รับผลกระทบหรือทายาทรับเงินไปบางส่วนแล้วหรือไม่ตกลง

               ยินยอมรับเงินชดเชยและจะฟ้องคดีต่อศาล

                                 คว�มเห็นและข้อเสนอ
                                 ควรกำาหนดให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ยุติการดำาเนินการตาม

               ร่างพระราชบัญญัติฯ  หากผู้ได้รับผลกระทบหรือทายาทรับเงินไปบางส่วนแล้วหรือไม่ตกลงยินยอมรับเงินชดเชย
               และได้ฟ้องคดีต่อศาลแล้ว  ไม่ควรยุติการดำาเนินการเพียงแค่จะมีการฟ้องคดีต่อศาลเท่านั้น

                                 ๓)  ร่างมาตรา  ๒๗  วรรคหนึ่ง  กำาหนดว่า  หากผู้ได้รับผลกระทบหรือทายาทรับเงินชดเชย
               ไปบางส่วนแล้วหรือไม่ตกลงยินยอมรับเงินชดเชยและจะฟ้องคดีต่อศาล  ผู้ได้รับผลกระทบหรือทายาทอาจฟ้อง
               กองทุนได้โดยตรง แต่จะฟ้องผู้ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเกิดผลกระทบไม่ได้


                                 คว�มเห็นและข้อเสนอ
                                 การกำาหนดให้ฟ้องกองทุนได้โดยตรง แต่จะฟ้องผู้ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบหรือหน่วยงาน
               ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดผลกระทบไม่ได้  เป็นการคุ้มครองผู้ให้บริการสาธารณสุขและตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะฟ้อง
   161   162   163   164   165   166   167   168   169   170   171