Page 230 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 230
228 ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๑ ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
ดังกล่าวส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงสิทธิเช่นว่านี้ และเมื่อทราบถึงสิทธิดังกล่าวก็มักจะยื่นคำาขอเมื่อ
พ้นกำาหนดเวลา ๑ ปีไปแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติให้เจ้าหน้าที่
ในกระบวนการยุติธรรมหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอื่นใดมีหน้าที่แจ้งสิทธิแก่ผู้เสียหายหรือจำาเลย
ในคดีอาญา ซึ่งต่างจากพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่มีบทบัญญัติให้
เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองให้คู่กรณีได้ทราบ ดังนั้น
การกำาหนดเงื่อนไขให้ต้องยื่นคำาขอภายใน ๑ ปี จึงทำาให้เกิดปัญหาและอุปสรรคแก่ผู้มีสิทธิและ
ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมทั้งพระราชบัญญัติ
ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ที่มุ่งให้รัฐ
ได้เยียวยาเบื้องต้นแก่ผู้เสียหายและจำาเลยในคดีอาญา
นอกจากนี้ การกำาหนดระยะเวลายื่นคำาขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย
ภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการกระทำาความผิด หรือวันที่ศาลมีคำาสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง
ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำาเลยในคดีอาญา พ.ศ.
๒๕๔๔ โดยให้เหตุผลว่า พยานหลักฐานที่จะใช้ในการพิจารณาจะยังมีความสมบูรณ์อยู่และยังไม่
เลือนรางสูญหายย่อมเป็นเหตุผลที่อาจไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติดังกล่าว
ที่เป็นการให้สิทธิแก่ผู้เสียหายหรือจำาเลยในคดีอาญาที่จะได้รับการเยียวยาจากรัฐ เพราะด้วยเหตุ
ที่รัฐมีอำานาจหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยแก่ชีวิตร่างกาย ทรัพย์สิน
ของประชาชนในรัฐและต้องรับผิดชอบต่อผู้ต้องหา จำาเลยที่ได้รับความเสียหายจากการบริหารงาน
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มีข้อบกพร่องอยู่ ดังนั้น จึงควรขยายระยะเวลาการใช้สิทธิจาก ๑ ปี
ออกไปเป็น ๑๐ ปี เนื่องจากระยะเวลาดังกล่าวมิใช่สิทธิฟ้องร้องในการโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด
๕.๒ ความผิดตามรายการที่ระบุไว้ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว
ยังไม่ครอบคลุมความผิดบางประเภท เช่น ความผิดฐานชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์เป็น
เหตุให้ได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตาย หรือความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ จึงเห็นด้วยกับแนวทางที่
กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะมีการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว
๕.๓ การกำาหนดเงื่อนไขการจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายให้แก่จำาเลยในคดีอาญา
ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำาเลย
ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๒๐ (๓) ที่กำาหนดว่า จำาเลยที่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย
ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องปรากฏตามคำาพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า
จำาเลยมิได้เป็นผู้กระทำาความผิดหรือการกระทำาของจำาเลยไม่เป็นความผิด นั้น การเขียนกฎหมาย
ในลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากเมื่อศาลยกฟ้อง ศาลมักจะไม่ระบุไว้ใน
คำาพิพากษาอย่างชัดเจนว่า จำาเลยมิได้เป็นผู้กระทำาความผิดหรือการกระทำาของจำาเลยไม่เป็นความผิด