Page 168 - รายงานการศึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
P. 168
ในตัวชี้วัด คือ ต้องมีการผลักดันให้กฎหมายที่มีอัตราโทษประหารชีวิตได้เข้าสู่การพิจารณา
ของรัฐสภาให้มีการยกเลิกให้เป็นโทษจำาคุกตลอดชีวิต
ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
รวมทั้งประเทศไทยได้ให้ความสำาคัญต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนในประเทศ
เช่นเดียวกันดังกล่าวข้างต้น ประเทศไทยจึงควรมีการยกเลิกโทษประหารชีวิตอย่างจริงจัง
เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เป็นประเทศส่วนน้อยในโลกที่ยังคงใช้
โทษประหารชีวิตในการลงโทษผู้กระทำาผิด นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองต่อกระแสการคุ้มครอง
สิทธิมนุษยชนประชาชนในประเทศ เนื่องจากการใช้โทษประหารชีวิตเป็นการละเมิดต่อ
สิทธิมนุษยชนของผู้กระทำาผิดที่ควรมีชีวิตอยู่ ควรได้รับการปฏิบัติด้วยการเคารพสิทธิและเคารพ
ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
๔.๓ ก�รใช้โทษประห�รชีวิตสำ�หรับอ�ชญ�กรรมร้�ยแรงที่สุด
(Most Serious Crime)
กฎหมายระหว่างประเทศที่กำาหนดเป็นกฎหมายพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี
ให้มีการกำาหนดโทษประหารชีวิต ได้แก่ มาตรา ๖ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง
และสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ได้กำาหนดในย่อหน้าที่ ๒ เกี่ยวกับ “อาชญากรรมร้ายแรง (Most
Serious Crime)” คือ ในประเทศที่ยังไม่ได้มีการยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิต การพิจารณาคดี
ตัดสินโทษประหารชีวิตจะถูกนำามาบังคับใช้สำาหรับอาชญากรรมร้ายแรงตามกฎหมายที่มี
การบังคับใช้ในขณะที่ประกอบอาชญากรรม (International Commission against the Death
Penalty, 2013)
อย่างไรก็ตาม อาชญากรรมร้ายแรงมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ตามวัฒนธรรม
ศาสนาและบริบททางการเมือง มาตรา ๖ ของ ICCPR ได้กำาหนดทิศทางของการยกเลิก
โทษประหารชีวิตจากการกำาหนดพันธะสัญญาระหว่างประเทศ โดยได้กำาหนดขอบเขตของ
โทษประหารชีวิต คือ
“จะต้องไม่มีการใช้โทษประหารชีวิตสำาหรับอาชญากรรมอื่นนอกจากอาชญากรรม
ที่กระทำาโดยเจตนาทำาให้ผู้อื่นเสียชีวิต หรือการกระทำาที่มีผลอันตรายร้ายแรงอย่างที่สุด” หรือ
อาจกล่าวได้ว่าพฤติกรรมที่มีลักษณะคุกคามชีวิตเป็นพฤติกรรมที่จัดว่าเป็นพฤติกรรมการกระทำาผิด
ที่ร้ายแรง
ในปี ค.ศ. ๒๐๐๖ องค์การสหประชาชาติได้ให้นิยามของอาชญากรรมร้ายแรง คือ กรณี
การกระทำาผิดที่ได้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาในการฆาตกรรมโดยมีผลของการกระทำา คือ ทำาให้ผู้อื่น
โทษประหารชีวิตในประเทศไทย 155