Page 569 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 569
(3.1) จุดแข็ง/จุดเด่น
-หน่วยงานต่างๆ ร้องขอให้ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะ
สถาบันที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการยกร่างกฎหมายหรือ
ด าเนินการต่างๆ ทางกฎหมายอยู่เสมอ เป็นการเพิ่มพูนความรู้และทักษะแก่บุคลากร
- ส านักงานฯ ได้ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่นในการจัดส่ง
บุคลากรไปร่วมประชุม ศึกษา ฝึกอบรม ดูงานในต่างประเทศ และส านักงานฯ ยังได้ให้การ
ต้อนรับเจ้าหน้าที่จากส่วนราชการและหน่วยงานจากต่างประเทศเข้ามาศึกษา ดูงานและเยี่ยมชม
การด าเนินงานของส านักงานฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของบุคลากร
-ในการจัดท าร่างกฎหมาย ส านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้จัดให้มี
ั
การสัมมนาและรับฟง ความคิดเห็นจากประชาชน ในการจัดท าร่างกฎหมาย บางฉบับตามความ
ั
เหมาะสม โดยจัดในรูปแบบ ต่างๆ และช่องทางหนึ่งคือการรับฟงความคิดเห็นทางเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่สะดวก ประหยัด
(3.2) ปัญหาอุปสรรค
-มีข้อจ ากัดด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน เนื่องจากบางครั้ง
การแสดงความคิดเห็นด้านกฎหมายผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีข้อจ ากัดด้านเครื่องมือ และ
ทักษะของประชาชน
4) กระบวนการยื่นเรื่องร้องทุกข์
จากการศึกษาข้อมูลของส านักงานคณะกรรมการกฎษฎีกา (2542 : 42-44)
พบว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่มีอ านาจหน้าที่ในการหยิบยกเรื่องเข้าสู้กระบวนการเอง
-มีการจัดตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ภูมิภาคขึ้น โดยจะพิจารณา
ถึงปริมาณคดีและความจ าเป็นในการจัดตั้ง และโดยที่ลักษณะของคดีปกครองนั้นเป็นข้อพิพาทที่
เกิดจากค าสั่งของเจ้าหน้าที่ซึ่งมาจากฐานที่มาของการอ้างอิงกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติของ
ราชการ ฉะนั้น เมื่อมีการวินิจฉัยข้อพิพาททางปกครองเรื่องหนึ่งแล้วย่อมสามารถน าไปเป็น
ระเบียบปฏิบัติราชการของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งได้ ด้วยเหตุนี้ ปริมาณคดีปกครองจึงมิได้มี
่
จ านวนมากดังเช่นคดีข้อพิพาทระหว่างเอกชนซึ่งผูกพันเฉพาะบุคคล 2 ฝาย ที่เป็นคู่ความ อัน
เป็นปกติของการด าเนินการของศาลปกครองของสากล
-คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ภูมิภาค มีการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
ว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา และระเบียบวิธีพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ โดยจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่
- 463 -

