Page 126 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 126

๑๑๗
                                       รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”


                         ๔.  ประเทศไทยควรพัฒนาการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยในค่ายให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการจัด


                  การศึกษา การบริการสุขภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ และ สิทธิในการทํางาน


                         ๕.  ประเทศไทยจะส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทางก็ต่อเมื่อ ประเทศต้นทางนั้นปลอดภัยสําหรับ

                  ผู้ลี้ภัย ทั้งในแง่ภัยจากการสู้รบ และ กับระเบิด อีกทั้ง ประเทศต้นทางมีความพร้อมในด้านระบบโครงสร้าง

                  พื้นฐาน การบริการด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การบริการสุขภาพ สวัสดิการ และมีการจัดเตรียมกลไกเพื่อ


                  การรักษาสันติภาพที่เหมาะสม


                         ๖.  รัฐบาลไทยควรเข้ามามีบทบาทในการเตรียมความพร้อมให้ผู้ลี้ภัยก่อนการเดินทางกลับ โดย

                  จัดโครงการต่าง ๆ เช่น การพัฒนาศักยภาพผู้ลี้ภัย การระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี



                         ๗. หากผู้ลี้ภัยหรือหนีภัยการสู้รบตัดสินใจเดินทางกลับมาตุภูมิเดิมด้วยความสมัครใจ รัฐบาลไทย

                  ควรเชิญหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนเข้าเป็นสักขีพยานในการเดินทางกลับ อีกทั้งองค์การที่เป็น

                  สักขีพยานเหล่านั้นอาจพิสูจน์ความสมัครใจในการเดินทางกลับของผู้ลี้ภัยเหล่านั้น อย่างไรก็จะต้อง

                  คํานึงถึงประกันความปลอดภัยและการเดินทางกลับอย่างมีศักดิ์ศรีในดินแดนนั้น



                         ๘. ในทางกลับกันหากไม่สามารถดําเนินการส่งกลับมาตุภูมิเดิมด้วยความสมัครใจได้ รัฐบาลไทย

                  ควรพิจารณาให้สิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อรอการส่งกลับประเทศเมียนมาร์เมื่อ

                  สถานการณ์ภายในประเทศเมียนมาร์มีความปลอดภัย ซึ่งสามารถกระทําได้ภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้า

                  เมือง พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๗ กล่าวคือ ให้อํานาจรัฐมนตรีโดยการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษ

                  เฉพาะเรื่องที่จะให้คนต่างด้าวผู้ใดอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายโดยยึดหลักการพื้นฐานใน


                  รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด เพื่อคงไว้ซึ่งการเคารพหลักการไม่ผลักดันกลับไปสู่อันตราย


                         ๙.    ปัจจุบันประเทศไทยมีกลไกความสัมพันธ์แบบทวิภาคีกับเมียนมาร์หลายกลไก คือ

                  คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC)  คณะกรรมการการค้าร่วม

                  (Joint Trade Commission – JTC)  คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission – JC) และคณะกรรมการ


                  เขตแดนร่วม (Joint  Boundary  Committee  –  JBC) โดยกลไกเหล่านี้มีตัวแทนฝ่ายรัฐเข้าไปเป็น

                  คณะกรรมการ  แต่ยังขาดกลไกในการดูแลปัญหาผู้ลี้ภัยจากชายแดน จึงควรมีคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุด

                  หนึ่งคือ คณะกรรมการสถานภาพผู้ลี้ภัยจากการสู้รบประจําจังหวัด (PAB)  ให้มีบทบาทหน้าที่ในการ

                  ติดตามและประเมินสถานการณ์ตามแนวชายแดน รวมทั้งสําหรับผู้ลี้ภัยที่เดินทางเข้ามาใหม่ควรได้รับการ
   121   122   123   124   125   126   127   128   129   130   131