Page 15 - พระมหากษัตริย์กับงานสิทธิมนุษยชน
P. 15
“เจ้าเมือง บ เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่
ค้าช้าง ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักค้าเงินค้าทอง ค้า”
เป็นการแสดงถึงสิทธิและเสรีภาพในการค้าขาย
“ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้ในนั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้าน
กลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่าน
แขวนไว้ พ่อขุนรามคำาแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ”
ข้อความดังกล่าวนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงสิทธิในการร้องทุกข์
ในสมัยพ่อขุนรามคำาแหง (พุทธศักราช ๑๘๑๘ – ๑๘๖๐) ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ ๑
(Edward I) แห่งอังกฤษ อันเป็นสมัยปฏิรูปอันยิ่งใหญ่สำาหรับระบบกฎหมายและรัฐสภาของอังกฤษ
ตรงกับสมัยของพระเจ้าฟิลิป เลอ เบล (Philippe le Bel) แห่งฝรั่งเศส ซึ่งเป็นระยะที่กฎหมายโรมัน
และรัฐสภาเริ่มมีบทบาทแทนที่อิทธิพลของสันตะปาปา และตรงกับสมัยที่มลรัฐแห่งสวิสเซอร์แลนด์
ได้เริ่มการปลดการบีบบังคับจากกษัตริย์ด้วย
แนวคิดด้านสิทธิมนุษยชนนั้นต่อมาได้รับการยอมรับและให้ความสำาคัญจากประเทศทั่วโลก
เป็นอย่างมากหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง เนื่องจากประชาคมโลกได้ตระหนักถึง
ความโหดร้ายทารุณของสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การกระทำายำ่ายีต่อสตรี เด็ก และคนชรา
ซึ่งมนุษย์ได้กระทำาต่อมนุษย์ด้วยกัน อันเป็นผลจากสงครามโลกดังกล่าวจนนำาไปสู่การพัฒนากฎหมาย
สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ อันเป็นหลักการ ข้อตกลง ระบบและกลไกด้านสิทธิมนุษยชนที่เป็น
มาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากลเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของทุกคนในโลกนี้
ต่อไป
พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ กั บ ง า น สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น 15