Page 124 - รายงานผลการศึกษาวิจัย ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 124
และเนื่องจากมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้กําหนดให้สิทธิ
และเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองโดยชัดแจ้ง ย่อมได้รับความคุ้มครองจากองค์กรของรัฐ โดยในกรณีนี้
สิทธิชุมชนซึ่งได้ถูกรับรองไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา 66 และมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และยังถูกรับรองไว้ในคําพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง
อีกหลายคดีว่าสิทธิชุมชนที่รับรองในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น มีผลบังคับใช้โดยทันที จึง
ถือได้ว่าสิทธิชุมชนต้องได้รับความคุ้มครองทั้งในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการ
ตีความกฎหมายของหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ด้วยโดยทันทีเช่นกัน
่
ดังนั้น แม้บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการปาไม้ จะมิได้เอื้ออํานวยต่อการใช้สิทธิของ
ชุมชนอย่างเพียงพอและยั่งยืนและทําให้รัฐมีทัศนคติที่ไม่ถือเป็น “หน้าที่ตามกฎหมาย” ที่ต้องรับรอง
และคุ้มครองสิทธิชุมชนอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกับหน้าที่ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติใน
ฐานะสมบัติของรัฐ แต่หากพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2550 ก็ถือได้ว่ารัฐธรรมนูญได้กําหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องถือเป็นหน้าที่โดยทันทีนับตั้งแต่
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ในการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนทั้ง
ในการใช้และการตีความกฎหมาย และเจ้าหน้าที่รัฐก็มิอาจปฏิเสธหน้าที่ในการรับรองและคุ้มครองสิทธิ
ชุมชนได้ เพราะหน้าที่ดังกล่าวนั้นได้ถูกกําหนดไว้อย่างชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2550 อันเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ
ั
ปญหาขอบเขตของสิทธิชุมชน ในหลักกฎหมายทั่วไปนั้น “สิทธิ” คือความชอบธรรมที่บุคคล
อาจใช้ยันกับผู้อื่น เพื่อคุ้มครองหรือรักษาผลประโยชน์อันเป็นส่วนที่พึงได้ของบุคคลนั้น หรือกล่าวอีก
นัยหนึ่งคือ สิทธิคือประโยชน์ที่บุคคลมีความชอบธรรมที่จะได้รับ ดังนั้น ในทางกลับกัน การดําเนินการ
ใด ๆ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่นอกเหนือจากที่ตนควรได้รับตามกฎหมาย ในกรณีนี้กฎหมายก็จะไม่
รับรองและคุ้มครองให้ ดังนั้น สิ่งที่“กฎหมายรับรองและคุ้มครอง” จึงเป็น “ขอบเขตของการใช้สิทธิ”
แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ไม่ได้กําหนดรายละเอียดของสิทธิ
ั
ชุมชนเอาไว้ว่า มีลักษณะหรือขอบเขตของสิทธิชุมชนอย่างไร จึงมีปญหาตามมาว่าสิทธิชุมชนในการ
่
จัดการและใช้ประโยชน์ทรัพยากรปาไม้มีขอบเขตอย่างไร โดยจากการศึกษาพบว่า ในเรื่องนี้มีแนวคิด
ที่เป็นหลักการอยู่ 2 อย่าง กล่าวคือ แนวคิดการเปรียบเทียบระหว่างสิทธิดั้งเดิมของชุมชนท้องถิ่น
ดั้งเดิมกับสิทธิมีส่วนร่วมของบุคคลทั่วไป และแนวคิดสิทธิเชิงซ้อน (Complexity of Rights)
โดยเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบทั้ง 2 แนวคิด จะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกัน และอาจกล่าวได้
ว่าแนวคิดคิดสิทธิเชิงซ้อนคือการตอบคําถามแนวคิดแรกที่ต้องเลือกระหว่างสิทธิดั้งเดิมของชุมชนกับ
สิทธิของบุคคลทั่วไป เพราะหลักการจัดการในการควบคุมและกําหนดการใช้ประโยชน์
ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรมภายใต้แนวคิดสิทธิเชิงซ้อนนั้น ไม่ได้ละเลยประโยชน์สาธารณะที่
บุคคลทั่วไปควรได้รับและยังให้รัฐเป็นผู้ดูแลประโยชน์สาธารณะให้ตกแก่บุคคลทั่วไปโดยทั่วถึงอย่างที่
เคยเป็นมาอีกด้วย เพียงแต่ตอกยํ้าให้รัฐต้องตระหนักว่าในพื้นที่เดียวกันนั้นยังมีชุมชนที่ใช้ประโยชน์
ทรัพยากรธรรมชาติอยู่ด้วย และที่สําคัญทรัพยากรธรรมชาตินี้มีคุณค่าในฐานะที่เป็นรากฐานในการ
ดํารงชีพของชุมชน หรือหากกล่าวให้ชัดก็คือมีความสําคัญต่อการดํารงชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์ของ
ชาวบ้านคนหนึ่งในชุมชนด้วยเช่นกัน
5‐52