Page 123 - รายงานผลการศึกษาวิจัย ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 123
่
ั
(2) ปญหาการห้ามใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ปา ซึ่งในอีกด้านหนึ่งล้วนแล้วแต่
เป็นลักษณะการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นพื้นฐานในการดํารงวิถีชีวิตของชุมชน ดังนั้น
จึงอาจกล่าวได้ว่า การห้ามดังกล่าวนั้น แทบจะทําให้ชุมชนไม่อาจดํารงวิถีชีวิตอยู่ได้เลย
ั
(3) ปญหาอํานาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (ผู้ใช้กฎหมาย) เนื่องจากบทบัญญัติของ
่
กฎหมายกําหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่มีอํานาจ “จัดการ” ใด ๆ ในพื้นที่ปา ดังนั้นเมื่อ
่
เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานปาไม้เป็นผู้ร่างกฎหมาย เป็นผู้ใช้บังคับกฎหมาย ติดตามการใช้กฎหมาย และ
ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกันเอง กระบวนการบริหารจัดการที่รวบอํานาจไว้ที่หน่วยงานเดียวดังที่กล่าว
มานี้ ย่อมทําให้กฎหมายที่บังคับใช้มีลักษณะที่ไม่โปร่งใส และไม่เป็นธรรมสูง
ผลของเนื้อหาในกฎหมายและผู้ใช้กฎหมายที่มีลักษณะเช่นนี้ จึงทําให้มีประชาชนจํานวนมาก
่
อยู่อาศัยทํากินโดยผิดกฎหมายปาไม้ สถิติตัวเลขปี พ.ศ. 2544 มีประชาชนประมาณ 4.6 แสน
่
ครัวเรือนหรือ 1 ใน 5 ของประชากรไทยต้องอยู่อาศัยทํากินโดยผิดกฎหมายปาไม้
ทั้งนี้ แม้ว่าชุมชนจะมีวิถีวัฒนธรรมและความเชื่อในการจัดการและใช้ประโยชน์
ทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบที่ไม่กระทบกับระบบนิเวศทางธรรมชาติซึ่งก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ
กฎหมาย แต่ก็ไม่อาจดําเนินการใด ๆ ได้ เพราะขัดกับบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น กรณีการดําเนิน
่
นโยบายโฉนดชุมชนที่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถดําเนินการได้โดยเฉพาะในพื้นที่ปาอนุรักษ์
่
่
เนื่องจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา และพันธุ์พืช กล่าวว่า เพราะกฎหมายปาไม้ไม่ได้เปิดช่องให้
่
ดําเนินการได้ โดยหากจะดําเนินการตามนโยบายดังกล่าว ก็ต้องเพิกถอนพื้นที่ปาออกจากกฎหมายที่
่
บังคับใช้อยู่เท่านั้น ดังนั้น แม้ในบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยปาไม้จะมิได้ปิดกั้นการใช้สิทธิของ
ชุมชนในการจัดการและใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ แต่ก็มิได้เอื้ออํานวยต่อการใช้สิทธิของชุมชน
่
ด้วยเช่นกัน เนื่องจากกฎหมายกําหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่มีอํานาจดําเนินการในพื้นที่ปาได้
จึงทําให้การใช้สิทธิของชุมชนดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้มี
อํานาจตามกฎหมาย ซึ่งหากเจ้าหน้าที่มีวิธีคิดที่ไม่ยอมรับสิทธิชุมชน ก็อาจจะบังคับใช้กฎหมายใน
ลักษณะที่ละเมิดสิทธิชุมชนได้
เนื่องจากสิทธิชุมชนอันถือเป็นสิทธิธรรมชาติที่ไม่อาจถูกยกเลิกหรือขัดขวางได้จากรัฐ ทําให้
ในการตรากฎหมาย การใช้กฎหมาย และการตีความกฎหมายของรัฐ จึงควรถือเป็นหน้าที่ที่รัฐต้อง
รับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนให้มีสถานะที่เท่าเทียมกับสิทธิและเสรีภาพในด้านอื่น ๆ ด้วย แต่
่
เนื่องจากบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการปาไม้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แนวคิดสิทธิชุมชนยังไม่ถูก
ยอมรับให้มีสถานะที่เท่าเทียมกับสิทธิและเสรีภาพด้านอื่น ๆ ในรัฐ ประกอบกับแนวคิดในการจัดการ
่
ทรัพยากรธรรมชาติโดยรัฐเพียงหน่วยเดียว ทําให้บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการปาไม้จึงไม่มี
บทบัญญัติใดที่กําหนดให้รัฐต้องมีหน้าที่อย่างเคร่งครัดในการรับรองและคุ้มครองสิทธิของชุมชนให้เท่า
เทียมกับการทําหน้าที่ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในฐานะที่เป็นสมบัติของรัฐ แม้กฎหมายจะ
มิได้มีบทบัญญัติใดที่ปิดกั้นการใช้สิทธิของชุมชนอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังไม่เอื้ออํานวยให้การใช้สิทธิใน
การจัดการและใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนมีได้อย่างเพียงพอและยั่งยืน ซึ่งอาจทําให้
ั
สถานการณ์ปญหาการละเมิดสิทธิชุมชนอาจกลับมามีความรุนแรงได้อีกครั้ง
5‐51