Page 66 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 66
วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา 65
เขาไม่เคยรู้จักคําว่าพอ เขาสะกดเป็นแต่คําว่า ‘สําส่อน’ และเพิ่มรสชาติชีวิตด้วยความสัมพันธ์แบบลับๆ ที่ไม่
มีผู้ใดล่วงรู้เขาคือ ‘แอบจิตผู้สําเร็จนิพพาน’ ” (ซากดอกไม้, 2551: 141) อารมณ์ปรารถนาของชาติชาครีต์มี
มากจนเขาสามารถทิ้งครอบครัวได้ และยินดีลองทั้งผิดและถูกเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนา ตลอดจนต่อสู้กับ
สังคมรักต่างเพศเพื่อช่วงชิงคู่นอน/คนรัก ที่ตนต้องใจ อย่างในกรณีของร้อยเอกปรัชญาที่เขาแย่งชิงมาจากรุ้ง
ตะวัน และจัดการกับทศนนท์ในฐานะคู่แข่งได้สําเร็จ “ชายหนุ่มในเครื่องแบบที่ยืนตรงหน้าผมนี้มิใช่หรือที่ผม
ถวิลหามานานแสนนาน หวังจะให้เขาแลเห็นผมในสายตา หวังจะให้เขาสนใจ หวังจะได้ชิดใกล้ ลูบไล้
กล้ามเนื้อมัดหนา หวังอยากจะให้เขากอดจูบลูบคลําด้วยความรักเต็มอัตราศึก” (ซากดอกไม้, 2551: 25)
อารมณ์ปรารถนาที่เกือบไร้ขีดจํากัดของเกย์ยังปรากฏจากเสียงเล่าเรื่องของเขตพิภพจาก ห่วงจําแลง
“สําหรับผม ‘เซ็กซ์’ เป็นปัจจัยที่ห้า ขาดไม่ได้ ขาดแล้วเหมือนจะลงแดง เกินได้ไม่มีปัญหา บางทีช่วง ‘พีค’
สุดๆ ผม ‘เสร็จ’ ร่วมสิบครั้งต่อวัน” (ห่วงจําแลง, 2551: 11) การพูดถึงอารมณ์ปรารถนาอย่างตรงไปตรงมามี
ความหมายทางการเมืองในแง่ที่ว่า เป็นการปฏิเสธจริยธรรมของชนชั้นกลางรักต่างเพศ ที่มองว่าเรื่องเพศเป็น
เรื่องที่สกปรกไม่ควรพูด เขตพิภพยังกล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า “ผมเป็นคนจําพวก ‘รักนวล’ แต่ ‘ไม่สงวนตัว’ โธ่
เอ้ย...โลกของพวกเรา ชาวสีรุ้งก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ ชีวิตเกิดมาทั้งที มันก็ต้อง ‘หนุกหนาน’ เรื่องอะไรจะมา
นั่งกลุ้มอกกลุ้มใจหรือเก็บกดให้โง่เป็นควาย ในเมื่อ gay หมายความถึงความสนุกสนานร่าเริง ตลกโปกฮา
แถมต้องมีกิเลสในเรื่องเซ็กส์คอยล่อหลอกอย่างไรอย่างนั้น” (ห่วงจําแลง, 2551: 322) ความเห็นของตัวละคร
ข้างต้นเป็นการสร้างสารัตถะ (essentialize) ให้แก่ความเป็นเกย์ว่ากลุ่มเกย์สนใจเรื่องเพศเป็นการเฉพาะ
หากตีความหมายทางการเมืองของอัญเพศแล้ว ความสําส่อนที่หลอมสร้างเป็นอัตลักษณ์ของเกย์อาจเป็นสิ่งที่
ผู้เขียนใช้เพื่อ “เผชิญหน้า” และ “ท้าทาย” มาตรฐานของสังคมรักต่างเพศ โดยนัยนี้ “ฉากรัก” ของเกย์จึง
ปรากฏในนวนิยายชุดนี้อย่างมีนัยสําคัญ
วินไทกําลังเอมโอช ผมนอนครางเบาๆ บนเตียงนุ่มๆ ใช้มือสองข้างกดบ่าไหล่ที่อุดมด้วยมัดกล้าม
นั้นอย่างแน่นขึง แต่ก็ผ่อนเบาเป็นจังหวะอยู่ในที บางคราวผมเผลอถึงกับเผยอริมฝีปากออก
น้อยๆ หายใจเข้าเฮือกใหญ่ แอ่นกายล่ําสันขึ้นสุดตัว พร้อมละเมอเพ้อพกแทบไม่เป็นภาษามนุษย์
[…] คงมีเสียงครางเบาๆ สลับเสียงร้องดังโอดโอย หาใช่เพราะเจ็บปวดระทมทุกข์ แต่เปี่ยมสุข […]
“โอ้ว..โอ้...โอ้..โอย วิน วินครับ โอย...สําเร็จแล้วครับ...โอย ผม ผมรักวินที่สุดเลยครับ”
น้ําป่าไหลบ่าท่วมทะลัก...พายุร้ายร้อนแรงเมื่อครู่เริ่มสงบ...เขากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง
จนแห้งผาก ผมผ่อนลมหายใจยาวเนิ่นนานและภาคภูมิ ขณะที่วินไทเคลื่อนกายขึ้นมา นอนแนบ
ซบกับอกกว้างของผม เรากอดกันและกันกระชับใกล้ ความผูกพันแห่งสองเราทบทวีคูณ (ด้ายสี
ม่วง, 2551: 379-380)