Page 148 - ภาษาเพศในสังคมไทย : อำนาจ สิทธิและสุขภาวะทางเพศ
P. 148

สวนที่ 3 การปฏิบัติทางเพศ: เสร็จ  131

                               ดานสรีระวิทยาของเพศชายและหญิงมาแลว โดยผานคําอธิบายที่วาดวยเรื่อง
                               ของความงาย/ยาก เร็ว/นาน ครั้งเดียว/หลายครั้ง หลั่ง/ไมหลั่ง การไปถึง/ไมถึง
                               จุดสุดยอด รวมทั้งคําอธิบายเรื่องอาการผิดปกติ หรือโรคที่เกิดจากการถึง

                               จุดสุดยอดอยางรวดเร็ว หรือการไมถึงจุดสุดยอดของการมีเพศสัมพันธ หรือ
                               การชวยตัวเอง โดยคําอธิบายตางๆ เหลานี้ไมไดอธิบายถึงการเสร็จ หรือการ

                               มีความสุขทางเพศในมิติของความรูสึก อารมณและจิตใจแตอยางใด
                                     การ “เสร็จ” จึงถือเปนเปาหมายที่สําคัญอีกประการหนึ่งของการมี
                               เพศสัมพันธนอกเหนือไปจากการมีเพศสัมพันธเพื่อสืบทอดทายาท โดยเฉพาะ
                               ในผูชายนอกจากการเสร็จของตนจะเปนเปาหมายที่สําคัญในการมีเพศสัมพันธ

                               ครั้งนั้นๆ แลว การเสร็จของคูความสัมพันธยังถือวาเปนเปาหมายในการตอบสนอง
                               ความพึงพอใจและความสุขทางเพศ หรือความภาคภูมิในความเปนชายของตน
                               อีกดวย

                                     ในการมีเพศสัมพันธสวนใหญ ผูชายหรือผูที่สวมบทเปนฝายรุก (หรือ
                               ผูกระทําในบริบทของชายรักชาย และหญิงรักหญิง) มักถามคูความสัมพันธ
                               ของตนถึงเพศสัมพันธที่เกิดขึ้นวา “ถึงไหม” “ไดไหม” “เสร็จไหม” “ออกไหม”
                               “แตกไหม” คําถามนี้อาจเปนคําถามที่แสดงถึงความหวงใยวาคูของตนมีความสุข

                               หรือไม หรืออาจถามเพราะตองการไดรับความมั่นใจวาตนทําใหคูมีความสุข
                               แสดงถึงความเปนนักรัก หรือผูกระทํา ฝายรุกที่เกงกาจ และสะทอนถึงคานิยม
                               ในเรื่องของศักดิ์ศรีความเปนชายที่สังคมใหคุณคาวาผูชายควรเปนเพศที่มี

                               ประสบการณ หรือมีความชํานาญในเรื่องเพศ หรือเปนไปไดทั้งสองความหมาย
                               คือทั้งหวงใยคูและอยากรูลีลารักของตน
                                     แตในทางกลับกัน ผูหญิงสวนใหญใชวาจะตอบคําถามนี้ไดงายเหมือน

                               การตั้งคําถามของฝายชาย เพราะชุดวิธีคิดในเรื่องเพศของสังคมไทย เปนสิ่งที่
                               ตีกรอบและควบคุมใหผูหญิงตองตกอยูในอุดมการณความเปน “กุลสตรี” การ
                               “รักนวลสงวนตัว” และถูกครอบงําใหตองเปนผูไรเดียงสาในเรื่องเพศอยูเสมอ

                               ดังนั้นปฏิกิริยาที่ผูหญิงมีตอคําถามนี้จึงมักเปนการตอบรับไวกอน ไมวาผูหญิง
                               จะรูสึกอยางไรในความเปนจริงก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาความสัมพันธให
                               ยืนยาว เพื่อแสดงความรับผิดชอบในเพศสัมพันธครั้งนั้น เพื่อจรรโลงอุดมการณ
                               ความเปนกุลสตรี และรักษาไวซึ่งความไรเดียงสาในเรื่องเพศ ดังเชนการเขียน


                                                      รณภูมิ สามัคคีคารมย
   143   144   145   146   147   148   149   150   151   152   153