Page 420 - รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะนโยบายหรือมาตรการเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของผู้สูงอายุ: กรณีการเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุ
P. 420
362 | รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ (Final Report)
นอกจากการอภิปรายในที่ประขุมแล้ว คณะผู้วิจัยได้รับข้อคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนาที่ส่งมอบให้
หลังจากการสัมมนาดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
1. ปัญหาการเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุ
1) การเลือกปฏิบัติ
ควรเพิ่มเติมนิยามของค าว่า “การเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุ” ให้ชัดเจน ในความหมายที่ผู้อ่าน
สามารถเข้าใจได้ว่า การเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุคืออะไร
ซึ่งอาจใช้หลักในการเลือกปฏิบัติดังนี้ หากรัฐให้บริการประชาชน 5 ประการ การเลือกปฏิบัติ
อาจหมายถึง ผู้สูงอายุได้รับเพียง 3 ประการ ยังไม่เท่ากับประชาชนทั่วไป จากเอกสารงานวิจัยข้างต้น ไม่ว่าจะ
เป็นด้านสุขภาพ การจ้างงาน หรือด้านอื่น ๆ ยังไม่สะท้อนว่าเป็นการเลือกปฏิบัติจากภาครัฐ แต่เป็นในลักษณะ
ของการให้บริการสาธารณะที่ไม่มากพอ ไม่ครอบคลุม ดังนั้น จากผลการวิจัยได้ท าให้เห็นว่า ประเทศไทยอาจ
ไม่มีการเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุ แต่ผลจากการวิจัยท าให้พบว่ารัฐบาลจะต้องเพิ่มมาตรการหรือนโยบายเพิ่มเติม
เพื่อให้กลไกเหล่านั้นเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ผู้สูงอายุเผชิญในปัจจุบันมากขึ้น
2) ด้านการจ้างงาน
ผู้สูงอายุมีปัญหาเรื่องการเป็นแรงงานที่มีความรู้ไม่มาก หรือมีการรับรู้น้อย จากสภาวะทาง
สังคมที่เสื่อมโทรมลง ผนวกกับอุปนิสัยที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ไม่ศึกษากฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนการขาดวินัย ท าให้แรงงานไทยจึงไม่มีความต้องการท างานต่อหลังจากบริษัทเกษียณอายุ (ส่วนใหญ่
ประเทศไทยอยู่ที่ 55 ปี) นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการพักผ่อนมีความต้องการอยู่กับครอบครัว ความเปลี่ยนแปลง
ทางธุรกิจที่จะมี AI จ านวนมากในไม่ช้า ผู้สูงอายุจึงไม่อาจพัฒนาได้ทัน การท างานกับคนรุ่นใหม่มีอุปสรรค เกิด
ความไม่เข้าใจกัน และสภาพร่างกายที่ท างานหนักมาโดยตลอดทั้งในเสลาและนอกเวลางาน จนสุขภาพกาย
และจิตเสื่อมโทรมเร็ว การจ้างงานในอนาคตจึงน่าจะต้องพิจารณาให้รอบคอบถึงหลักเกณฑ์ มาตรการ ที่จะ
บังคับใช้
3) การดูแลผู้สูงอายุระยะยาว
การดูแลผู้สูงอายุระยะยาวหรือระบบครอบครัวที่ต้องดูแลผู้สูงอายุ ควรพิจารณาว่า หาก
น ามาใช้ในประเทศไทยจะเป็นสิ่งที่สามารถขับเคลื่อนหรือคุ้มครองสิทธิของผู้สูงอายุได้มากน้อยเพียงใด
เนื่องจากสังคมไทยยังคงมีความเหลื่อมล้ า ซึ่งจะเห็นได้ว่า บุคคลที่มีฐานะดี มีการศึกษา ย่อมจะมีความเข้าใจ
กฎหมายได้ดีกว่าบุคคลที่มีฐานะปานกลางและบุคคลที่มีฐานะยากจน ดังนั้นในการเสนอกฎหมาย ควรจะมีการ
การสนับสนุนควบคู่ไปกับการสร้างคุณธรรมหรือจริยธรรม บนพื้นฐานของสังคมไทยที่จะต้องมีความเอื้ออาธร
ต่อกัน สร้างจิตส านึกให้คนรุ่นใหม่ใส่ใจผู้สูงวัยมากยิ่งขึ้น มากกว่าที่จะผลักดันกฎหมายเพื่อมาบังคับให้
ครอบครัวดูแลผู้สูงอายุ
นอกจากนั้นในเรื่องสถานดูแลผู้สูงอายุ แม้ว่าปัจจุบันจะขาดหลักเกณฑ์ของการก ากับดูแล
ควบคุมมาตรฐาน ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เล็งเห็นความส าคัญ และเสนอเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อ