Page 101 - รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่ 3 (วันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 ถึง 25 พฤษภาคม 2564)
P. 101

อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม การฝึกอบรมจะต้องท�าให้เห็น แต่ก�าเนิดได้ร้อยละ ๒๐ - ๕๐ ลดโอกาสการเกิด และ
              อย่างเป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ  การเกิดซ�้าความพิการแต่ก�าเนิดของหลอดประสาทได้   1
              ขั้นตอน ระยะเวลา และเป้าหมายอย่างชัดเจน          ร้อยละ ๗๐ นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังสนับสนุนว่า กรดโฟลิก
                                                               หรือโฟเลตยังสามารถลดโอกาสเสี่ยงของความพิการ         2
              กรณีที่ ๘ เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายเพื่อส่งเสริม  แต่ก�าเนิดประเภทอื่น เช่น ลดโรคหัวใจพิการแต่ก�าเนิด
              และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีนโยบายและแผน  ลงได้ร้อยละ ๒๕ - ๕๐ ลดความผิดปกติของแขนขาลงได้             3
              การด�าเนินงานเพื่อลดความพิการแต่ก�าเนิด โดยการก�าหนด  ร้อยละ ๕๐ ลดความพิการของระบบ ทางเดินปัสสาวะ

              ให้กรดโฟลิกเป็นส่วนประกอบในอาหาร                 และโรคไม่มีรูทวารหนัก ตลอดจนลดโอกาสการเกิด
                 (รายงานผลการพิจารณา ที่ ๒๙๒/๒๕๖๐)             ปากแหว่งเพดานโหว่ลงได้ประมาณ ๑ ใน ๓ จึงสรุปได้ว่า   4
                 สืบเนื่องจากความพิการแต่ก�าเนิดของบุคคลได้ส่ง  การเสริมกรดโฟลิกสามารถป้องกันความพิการแต่ก�าเนิด
              ผลกระทบต่อทั้งคนพิการและคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น  ที่รุนแรงได้เกือบทุกชนิด สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก  5
              ผลกระทบด้านสุขภาพและจิตใจ ภาระค่าใช้จ่ายเพื่อ ที่ได้ให้ค�าแนะน�าว่า หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีโอกาสตั้งครรภ์
              การได้รับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสม และมีมาตรฐาน  ควรได้รับกรดโฟลิก ๔๐๐ ไมโครกรัม หรือ ๐.๔ มิลลิกรัม
              ความยากล�าบากในการเข้าถึงสิ่งอ�านวยความสะดวกและ ประจ�าทุกวันอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาที่มีโอกาส
              บริการสาธารณะ การถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน อีกทั้ง  ตั้งครรภ์ประมาณ ๓ เดือน ก่อนการตั้งครรภ์จนถึงตั้งครรภ์
              ท�าให้สูญเสียงบประมาณและทรัพยากรของประเทศ  ครบ ๓ เดือน

              เป็นจ�านวนมาก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้นิยาม
              “ความพิการแต่ก�าเนิด” ให้มีความหมายครอบคลุมถึง      กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ประชาชนคนไทยย่อมมี
              โรคพันธุกรรมที่อาจจะไม่เห็นความพิการเมื่อแรกเกิด  สิทธิที่จะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการมีสุขภาพที่ดี
              แต่แสดงอาการและความพิการต่อมาในวัยเด็ก ซึ่งปัญหา อันถือเป็นหลักการที่ส�าคัญของสิทธิมนุษยชนที่ต้องได้รับ
              ความพิการแต่ก�าเนิดมีสาเหตุส�าคัญ หลายประการ อาทิ  ตามมาตรฐานสูงสุด ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลายที่จะน�าไปสู่
              ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในมารดา การได้รับสารก่อ การได้รับสิทธิของบุคคลในด้านสุขภาพ อาทิ การก�าหนด
              ความพิการ โรคประจ�าตัวของมารดา การใช้ยาบางชนิด นโยบาย หรือการน�าหลักการหรือองค์ความรู้ซึ่งองค์การ
              ระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น ส�าหรับประเทศไทย พบว่า  อนามัยโลก (WHO) ได้ศึกษาและมีข้อเสนอแนะต่อ

              การเสียชีวิตในวัยทารกมีสาเหตุจากความพิการแต่ก�าเนิด ประเทศทั่วโลกมาปรับใช้ หรือการตรากฎหมายที่จ�าเป็น
              ประมาณร้อยละ ๒๐ - ๓๐ และพบทารกแรกเกิดมีชีพ  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ อันรวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย
              ซึ่งมีความพิการแต่ก�าเนิดประมาณ ๒๔,๐๐๐ - ๔๐,๐๐๐  ดังกล่าวด้วย ซึ่งในส่วนสิทธิของมารดาและการพัฒนา   ผลการดำาเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
              คนต่อปี หรือร้อยละ ๓ - ๕ ของจ�านวนทารกแรกเกิด  สุขภาพของเด็กให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง จ�าเป็นอย่างยิ่ง
              มีชีพทั้งหมดประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ คนต่อปี และจ�านวน ที่จะต้องได้รับการพัฒนาสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ
              เด็กพิการแต่ก�าเนิดมีแนวโน้มสะสมเพิ่มขึ้นทุกปี จึงจ�าเป็น ตั้งแต่การวางแผนครอบครัว การฝากครรภ์ในระยะก่อน
              ต้องด�าเนินการแก้ไขปัญหาความพิการแต่ก�าเนิดอย่างรอบ และหลังคลอดบุตร ดังนั้น การพัฒนานโยบายและ
              ด้านและเร่งด่วน ซึ่งได้มีการด�าเนินการแล้วบางส่วน เช่น  แผนการด�าเนินงานเพื่อลดความพิการแต่ก�าเนิด โดยการ
              การก�าหนดให้เติมสารไอโอดีนในเกลือและสารปรุงรส   ก�าหนดให้กรดโฟลิกเป็นส่วนประกอบในอาหารจึงเป็นการ

              เพื่อป้องกันการไม่พัฒนาการของเซลล์สมองขณะ  ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุข
              ตั้งครรภ์และวัยเด็ก เป็นต้น                      และสวัสดิการจากรัฐตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
                                                               แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งได้วาง
                 ผลจากการศึกษาทางด้านโภชนาการซึ่งประเทศ  หลักการและคุ้มครองไว้ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกัน
              ที่พัฒนาแล้วทั่วโลกต่างให้การยอมรับ การสนับสนุนว่า  ในการรับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสม เป็นไปอย่างทั่วถึง
              การเสริมกรดโฟลิก ๔๐๐ ไมโครกรัมต่อวัน (๐.๔ มิลลิกรัม มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน โดยเฉพาะเด็กและ
              ต่อวัน) ในช่วง ๔ - ๖ สัปดาห์ก่อนตั้งครรภ์ จนถึงตั้ง เยาวชนซึ่งมีสิทธิในการอยู่รอดและได้รับการพัฒนา

              ครรภ์ได้ ๓ เดือน สามารถลดโอกาสเสี่ยงของความพิการ  ด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ตามศักยภาพใน



                                                                                                                 99
   96   97   98   99   100   101   102   103   104   105   106