Page 210 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2560
P. 210
บทที่ ๖ การประเมินสถานการณ์ด้าน
สิทธิมนุษยชนใน ๕ ประเด็นร่วม
นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นข้อห่วงกังวลที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเพิ่มมากขึ้นอีกประการคือ การฟ้อง
ร้องในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวต่อการออกมาแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ
โดยเฉพาะในพื้นที่สื่อออนไลน์ อนึ่ง การให้ความส�าคัญต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นประเด็นที่ไม่ปรากฏในกลไกทางกฎหมาย
หรือการก�าหนดนโยบายของรัฐอย่างชัดเจน แม้ในรายงาน
ทบทวนสถานการณ์ของประเทศไทยภายใต้กระบวนการ
UPR รอบที่ ๒ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ค�ารับรองใน
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เสนอโดย
ประเทศต่าง ๆ แต่ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๔๐๕
ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๖๑ ว่าด้วยแผนสิทธิมนุษยชน
ด้านกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ก�าหนดประเด็นเกี่ยวกับ
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนไว้เป็นการเฉพาะ
ข้อเสนอแนะ
๑. รัฐบาลควรศึกษาความเหมาะสมในการมีกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการด�าเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับ
การมีส่วนร่วมของสาธารณชน เพื่อให้เป็นกลไกลทางกฎหมายในการปกป้องและคุ้มครองบุคคลหรือกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ที่ออกมา
แสดงออกในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือเป็นการใช้สิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออกตามที่รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางเมืองได้รับการรับรอง
๒. รัฐบาลควรเร่งศึกษาและหาแนวทางที่เหมาะสมในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยให้กระทรวงยุติธรรม
(กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) ด�าเนินการลงพื้นที่ที่มีกรณีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเพื่อรับทราบถึงสภาพปัญหาและ
แนวทางแก้ไขปัญหาโดยรับฟังความคิดเห็นและน�าไปก�าหนดไว้ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ ต่อไป
๓. รัฐบาลควรสร้างความตระหนักกับหน่วยงานภาครัฐด้านกระบวนการยุติธรรมเพื่อท�าความเข้าใจต่อนักปกป้อง
สิทธิมนุษยชน รวมถึงบริบทหน้าที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพื่อน�าไปสู่การพิจารณาความเหมาะสม
ในการใช้บังคับใช้กฎหมายและการปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
บทที่
๖
๔๐๕ กระทรวงการต่างประเทศ. (๒๕๖๐). แผนการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยได้รับและค�ามั่นโดยสมัครใจของไทยภายใต้กลไก UPR รอบที่ ๒. สืบค้นจาก http://humanrights.mfa.go.th
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | 209