Page 112 - รายงานผลการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ
P. 112

๘๕



                   ต่อมำเมื่อมีกำรให้สิทธิกำรถือครองที่ดินแล้ว โดยหลักกำรเมื่อจะมีกำรประกำศพื้นที่หวงห้ำมบริเวณใด

                   ควรต้องให้รำษฎรในพื้นที่รับรู้ด้วย แต่จำกกำรรวบรวมข้อมูลเท่ำที่ตรวจสอบได้ไม่มีกำรก ำหนดในเรื่อง
                   ดังกล่ำวไว้ คงมีเพียงกำรปิดประกำศพื้นที่ หรือแจ้งให้ผู้ปกครองท้องที่ประกำศให้รำษฎรที่อยู่อำศัย

                   ในพื้นที่ทรำบ เพื่อกำรแสดงสิทธิในที่ดินของตนเท่ำนั้น แต่ด้วยพื้นฐำนควำมรู้ควำมเข้ำใจรำษฎรในอดีต
                   ของช่วงเวลำที่มีกำรประกำศพื้นที่หวงห้ำมประเภทต่ำงๆ ในขณะที่มีกำรประกำศส่วนใหญ่ไม่สำมำรถรับรู้

                   เพื่อแสดงสิทธิที่ควรมีควรได้ของตน เมื่อหน่วยงำนบังคับใช้กฎหมำยในกำรครอบครองที่ดินจึงเกิดปัญหำ
                   ตลอดมำ


                          3.๓.๔ การประกาศพื้นที่หวงห้ามของแต่ละส่วนราชการทับซ้อนกัน


                          กำรประกำศพื้นที่หวงห้ำมของแต่ละส่วนรำชกำรทับซ้อนกัน ด้วยระบบกำรประกำศพื้นที่ในอดีต

                   กำรรังวัดท ำแผนที่เพื่อประกำศพื้นที่ซึ่งวิธีกำรรังวัดตำมยุคสมัย เมื่อปรำกฏว่ำเป็นกำรประกำศทับซ้อนกัน
                   เช่น กำรประกำศเขตอุทยำนแห่งชำติทับซ้อนป่ำสงวนแห่งชำติ กำรประกำศเขตอุทยำนแห่งชำติทับซ้อน

                   พื้นที่ที่มีกำรเพิกถอนออกจำกกำรก ำหนดให้เป็นที่สงวนหวงห้ำมฯ พ.ศ. ๒๔๘๑ เพื่อรองรับกำรอพยพ
                   ของรำษฎรที่ได้รับผลกระทบจำกกำรสร้ำงเขื่อนศรีนครินทร์ กำรประกำศป่ำสงวนแห่งชำติทับซ้อนพื้นที่

                   นิคมสร้ำงตนเองหรือนิคมสหกรณ์ กฎหมำยส ำหรับกำรประกำศพื้นที่หวงห้ำมแต่ละประเภทดังกล่ำว ไม่มี
                   บทบัญญัติให้เป็นกำรถอนสภำพพื้นที่บริเวณที่มีกำรประกำศทับซ้อนให้เหลือเพียงกำรสงวนหวงห้ำม ที่อยู่

                   ในควำมดูแลของหน่วยงำนใดหน่วยงำนหนึ่ง ท ำให้เกิดปัญหำเกี่ยวกับกำรบริหำรจัดกำรในพื้นที่ เช่น
                   หำกเป็นพื้นที่ป่ำสงวนแห่งชำติตำมกฎหมำย จะสำมำรถอนุญำตให้อยู่อำศัยและท ำประโยชน์ได้ แต่หำก

                   เป็นพื้นที่อุทยำนแห่งชำติ เช่น กรณี เขื่อนศรีนครินทร์จะไม่สำมำรถด ำเนินกำรได้และยังคงเป็นปัญหำ
                   อยู่จนถึงปัจจุบัน เป็นต้น


                          3.๓.๕ บัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้มีการครอบครองและท าประโยชน์ในที่ดิน

                   ปาาอนุรักษ์และไม่มีบทอนุญาตให้เข้าท าประโยชน์


                          บัญญัติของกฎหมำยห้ำมมิให้มีกำรครอบครองและท ำประโยชน์ในที่ดินป่ำอนุรักษ์และไม่มี
                   บทอนุญำตให้เข้ำท ำประโยชน์ เช่น กรณีรำษฎรที่อยู่ในพื้นที่อุทยำนแห่งชำติจะไม่สำมำรถครอบครองและ

                   ท ำประโยชน์ในที่ดินได้ พื้นที่เขตห้ำมล่ำสัตว์ที่ก ำหนดโดยพระรำชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ำ
                   พ.ศ. ๒๕๐๓ ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกำรครอบครองท ำประโยชน์ในที่ดินและสำมำรถออกเอกสำรสิทธิ

                   ส ำหรับที่ดินของรำษฎรได้ ต่อมำ เมื่อมีกำรปรับปรุงแก้ไขเป็นพระรำชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ำ
                   พ.ศ. ๒๕๓๕ มีกำรบัญญัติห้ำมกำรครอบครองและท ำประโยชน์ในที่ดินที่ประกำศเป็นเขตห้ำมล่ำสัตว์ป่ำ

                   ซึ่งบทบัญญัตินี้ครอบคลุมถึงเขตห้ำมล่ำสัตว์ป่ำที่ประกำศตำมกฎหมำยฉบับเดิมด้วย ท ำให้สิทธิที่รำษฎร
                   ควรได้ส ำหรับที่ดินที่ตนครอบครองท ำประโยชน์ในพื้นที่เดียวกันแตกต่ำงกัน
   107   108   109   110   111   112   113   114   115   116   117