Page 145 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 2 ระหว่าง มกราคม - มิถุนายน 2558
P. 145
143
ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๒ ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘
สำาหรับการเกณฑ์ทหารในต่างประเทศ มีปัจเจกชนหลายคนได้อ้างสิทธิในข้อ ๑๘ แห่งกติการะหว่างประเทศ
ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่จะปฏิเสธเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจด้านการทหาร เพราะขัด
กับเสรีภาพทางความคิด มโนธรรม และความเชื่อทางศาสนาที่เขานับถืออย่างแท้จริง และรัฐต้องให้ความเคารพ
บนพื้นฐานของหลักการดังกล่าว ซึ่งรัฐอาจให้บุคคลดังกล่าวมีทางเลือกในการรับใช้ชาติอย่างอื่น เช่น ทำางาน
บริการสาธารณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธ โดยรัฐภาคีต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติที่แตกต่างแก่ผู้คัดค้านโดยอ้าง
มโนธรรม (Conscientious Objectors) และต้องมีมาตรการที่รัฐต้องพิจารณาให้เชื่อได้ว่า บุคคลนั้นเป็น
ผู้มีความคิด มโนธรรม และความเชื่อทางศาสนาอย่างแท้จริง ต่อมาภายหลังมีการเรียกร้องสิทธิดังกล่าวมากขึ้น
ทำาให้บางประเทศออกกฎหมายยกเว้นการรับราชการทหารโดยบังคับแก่บุคคลที่มีความคิด มโนธรรม และ
ความเชื่อทางศาสนาอย่างแท้จริงดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ประเทศต่างๆ
เช่น สหราชอาณาจักร สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส
สเปน อิตาลี และโปรตุเกส ได้ยกเลิกการรับราชการทหารโดยบังคับ และกว่า ๑๐๓ ประเทศ การรับราชการทหาร
เปลี่ยนแปลงให้มีระบบสมัครใจดังปรากฏในตารางข้อ ๓.๓.๑
สำาหรับประเทศไทยเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งมีหน้าที่
ต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนดังกล่าว และต้องคำานึงถึงหลักการสำาคัญของสิทธิมนุษยชนที่
ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพ มีความเสมอภาค ทั้งความคิด และการกระทำาที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ ทุกคนจึงมี
อิสระที่จะเลือกกำาหนดในชีวิตของตนเอง การบังคับให้กระทำาใดๆ ก็ตามโดยที่ไม่สมัครใจย่อมเป็นการจำากัด
สิทธิและเสรีภาพ การรับราชการทหารกองประจำาการจึงต้องไม่ใช่เรื่องของการเกณฑ์หรือการบังคับ ดังเห็นได้
จากในประเทศต่างๆ การรับราชการทหารสอดคล้องหลักการด้านสิทธิมนุษยชนโดยให้ความเป็นอิสระ
ในการตัดสินใจ ใช้หลักมโนธรรมและความเชื่อทางศาสนา รวมถึงการให้สิทธิที่จะมีทางเลือกอื่นในการรับใช้ชาติ
(Alternative National Service) ประกอบกับกฎหมายภายในของประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติ
รับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นกฎหมายที่บังคับใช้มานานและยังไม่สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศ
ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เกี่ยวกับการรับราชการทหารกองประจำาการโดยสมัครใจ เห็นว่า
ควรทบทวน ศึกษา และวิจัยเกี่ยวกับการทหารในต่างประเทศ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นระบบสมัครใจมากกว่าการใช้
กฎหมายมาบังคับสิทธิเสรีภาพและสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน รวมทั้งแนวทางการแก้ไข
ปัญหาแก่บุคคลผู้มีความคิด มโนธรรม และความเชื่อทางศาสนาอย่างแท้จริง การพิจารณาจัดทางเลือก
ในการรับใช้ชาติที่ไม่ต้องปฏิบัติภารกิจในการสู้รบ หรือมีลักษณะงานพลเรือนเพื่อประโยชน์สาธารณะตาม
ความคิดเห็นทั่วไปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประจำากติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและ
สิทธิทางการเมือง ในข้อ ๔.๒ ข้างต้น และมีมาตรการระยะสั้นในการเยียวยาหรือการป้องกัน เช่น มีกลไก หรือ
มีมาตรการคุ้มครองบุคคลที่มีความเชื่อทางศาสนาอย่างแท้จริง โดยให้มีการหลีกเลี่ยงการฝึกหรือปฏิบัติภารกิจ
ที่ต้องจับอาวุธ หรือให้ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ เป็นต้น
๕.๒ การรับบุคคลเข้าเป็นทหารกองประจำาการของประเทศไทยใช้วิธีเรียกมาตรวจเลือก (บังคับ)
ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะมีการสมัครใจเข้าเป็นทหารกองประจำาการมากขึ้น เพราะกระทรวงกลาโหมได้มี
นโยบายเพิ่มเงินเดือนแก่ทหารกองประจำาการ แต่พบว่าท้องที่อำาเภอใดเมื่อมีผู้สมัครใจเกินความต้องการของ
ท้องที่อำาเภอนั้น ผู้ที่สมัครใจในส่วนที่เกินของท้องที่อำาเภอดังกล่าวจะไม่ได้รับให้เข้าเป็นทหารกองประจำาการ
ดังนั้น ควรให้ผู้ที่สมัครใจเข้าเป็นทหารกองประจำาการมีสิทธิเป็นทหารกองประจำาการทุกกรณี