Page 130 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 2 ระหว่าง มกราคม - มิถุนายน 2558
P. 130
128 ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๒ ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘
กลาโหมปฏิบัติการอื่นที่เป็นการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงคราม เพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
หรือปฏิบัติการอื่นใด ทั้งนี้ ตามที่มีกฎหมายกำาหนดหรือตามมติคณะรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นการเตรียมกำาลังทหาร
จึงยังมีความจำาเป็นอยู่เช่นกัน
(๑๐) สำาหรับกรณีการใช้ทหารกองประจำาการที่ไม่เหมาะสมและไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจ
ของกองทัพ กองทัพมีมาตรการป้องกันและกวดขันไม่ให้มีการใช้ทหารกองประจำาการผิดวัตถุประสงค์หรือ
ไม่ตรงต่อภารกิจของทหารกองประจำาการ ส่วนการฝึกทหารโดยเฉพาะการฝึกภาคสนามกลางแจ้ง ซึ่งอาจส่งผล
ให้เกิดโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) หรือโรคลมแดด กองทัพมีความห่วงใยทหารกองประจำาการเป็นอย่างมาก
ส่วนการฝึกหรือการลงโทษทหารกองประจำาการ ได้มีการกวดขันและระมัดระวังในการฝึกและการลงโทษ โดยให้
ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบร่วมกันหากเกิดการร้องเรียนขึ้นมา
๓.๒.๒ ผู้แทนจากสำานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ให้ข้อมูลและความเห็น ดังนี้
(๑) สำาหรับประเด็นที่ว่าบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาตรา ๒๖ บัญญัติให้
ประชาชนชาวไทยย่อมมีฐานะเป็นพลเมือง และมาตรา ๒๗ (๒) บัญญัติให้ พลเมืองมีหน้าที่ป้องกันประเทศ
รับราชการทหาร รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด โดยนัยนี้คณะอนุกรรมการฯ
ได้สอบถามถึงความเห็นในเรื่องหน้าที่รับราชการทหารอาจมีความหมายรวมถึงผู้หญิงด้วย ส่วนหลักการ
ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๗๓ บัญญัติให้ “บุคคลมีหน้าที่รับราชการทหาร...
ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” และพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๗ บัญญัติให้ “ชาย
ที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย มีหน้าที่รับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน” โดยนัยนี้ ผู้แทนจากสำานักงานปลัด
กระทรวงกลาโหมให้ข้อมูลว่า หน้าที่ในการรับราชการทหารที่มีลักษณะเป็นการรบหรือถืออาวุธจึงเป็นของผู้ชาย
เท่านั้น หากร่างรัฐธรรมนูญบัญญัติให้การรับราชการทหารเป็นหน้าที่พลเมือง หน้าที่ในการรับราชการทหาร
บางประการอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ซึ่งจะรับไปพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
(๒) การถืออาวุธของเด็กและเยาวชนจะมีความเกี่ยวข้องกับหลักการตามอนุสัญญาว่าด้วย
่
สิทธิเด็กที่ห้ามเด็กอายุตำากว่า ๑๘ ปีถืออาวุธ กระทรวงกลาโหมได้ประสานหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน
ปรับหลักสูตรเรียนวิชารักษาดินแดน (รด.) ใหม่ ให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว โดยในช่วงการเรียนชั้นปีที่ ๑
่
และปีที่ ๒ ห้ามเด็กอายุตำากว่า ๑๘ ปี ฝึกการใช้อาวุธปืน แล้วจึงเริ่มฝึกการใช้อาวุธปืน ในการเรียนชั้นปีที่ ๓
ซึ่งเด็กและเยาวชนมีอายุอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถถืออาวุธได้ นอกจากนี้ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดนได้ปรับ
หลักเกณฑ์และคุณสมบัติผู้ที่จะสมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหาร โดยจะรับผู้สำาเร็จการศึกษาระดับมัธยมชั้นปีที่ ๓
หรือเทียบเท่าอายุ ๑๗ – ๒๒ ปีบริบูรณ์ หากมีจำานวนผู้สมัครไม่พอจึงรับผู้ที่มีอายุ ๑๖ ปีบริบูรณ์ ส่วนทหารพราน
ซึ่งมีภารกิจป้องกันประเทศตามพื้นที่ชายแดนของประเทศไทยมีลักษณะเป็นลูกจ้างประจำา มีความแตกต่างกับ
ทหารกองประจำาการที่เข้ามาตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗
๓.๒.๓ ผู้แทนจากสำานักงานตำารวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลและความเห็น ดังนี้
(๑) พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ บัญญัติให้ สามารถเรียกหรือ
ตรวจเลือกคนเป็นตำารวจกองประจำาการเช่นเดียวกับทหารกองประจำาการ ซึ่งได้ถือปฏิบัติสมัยรัชกาลที่ ๕
ภายหลังได้ยกเลิกตำารวจกองประจำาการ เนื่องจากมีการตั้งโรงเรียนตำารวจนครบาลและตำารวจภูธรทำาให้มีกำาลัง
ตำารวจเพียงพอ ตำารวจกองประจำาการจึงไม่มีความจำาเป็นต่อไปและพระราชบัญญัติข้าราชการตำารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗