Page 354 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 354

สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
                                                                                               National Human Rights Commission of Thailand

                       7. การละเมิดสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม




               7.1  ความเปนมาและภาพรวมสถานการณปญหา


                        สถานการณในชวงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปญหาเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของราษฎรโดยเฉพาะ
               อยางยิ่งปญหาการเชาที่ดิน เปนปญหาที่เรื้อรังมานานมีแนวโนมทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อพิจารณาจาก

               สัดสวนการขยายตัวระหวางพื้นที่นากับประชากรในชวงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การขยายพื้นที่นาเริ่มเปนไปไดยาก

               มากขึ้น เนื่องจากที่ดินสาหรับบุกเบิกจับจองสวนใหญเปนที่ดินเหมาะสําหรับพืชไร อันทําใหเนื้อที่เพาะปลูกขาว
               ขยายตัวในอัตราที่เชื่องชาลงมาก ดังปรากฏวา อัตราการขยายตัวของเนื้อที่เพาะปลูกขาวตั้งแต พ.ศ. 2490

               จนถึง พ.ศ. 2500 ขยายตัวเพียงรอยละ 1.70 ตอป ขณะที่จํานวนประชากรในประเทศไทยชวงหลังสงครามโลก

               ครั้งที่ 2 (ระหวางป พ.ศ. 2490 - 2503) กลับเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็วประมาณรอยละ 2.5-3.0 ในชวงป

               พ.ศ. 2490 - 2503 โดยป พ.ศ. 2490 ประชากรของไทยเทากับ 17.5 ลานคน และเพิ่มขึ้นเปน 26.3 ลานคน

               ในป พ.ศ. 2503 อัตราการขยายตัวของเนื้อที่เพาะปลูกขาวที่ตํ่ากวาอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโดยเฉพาะ
               ในภาคชนบท สงผลใหครอบครัวชาวนาตองแบงซอยที่ดินของตนเปนผืนยอย ๆ ใหแกสมาชิกในครอบครัว

               ทําใหขนาดการถือครองที่ดินของราษฎรโดยเฉพาะในพื้นที่นาขาวมีขนาดที่คอย ๆ เล็กลง ขนาดที่ดินที่เล็กลงนี้

               นาจะสงผลตอการผลิตของชาวนาที่ลดลงไปดวย เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตของชาวนาไทยสัมพันธ
               กับขนาดของที่ดินเพาะปลูก ภาวะดังกลาวจึงสงผลถึงรายไดของชาวนาจากการขายขาวที่ลดลงไปดวย

               อันเปนแรงผลักดันใหชาวนาตองแสวงหาที่ดินเพิ่มเติมใหเพียงพอกับการเลี้ยงครอบครัว ถึงแมวาชาวนา

               จะมีโอกาสที่จะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกของตนดวยวิธีการจับจองที่ดิน รกรางวางเปลา แตจากรายงานของกระทรวง

               มหาดไทยกลับพบวา ในชวงทศวรรษ 2490 ราษฎรทําการจับจองที่ดินไดโดยยาก เนื่องจากที่ดินที่ราษฎร

               จะจับจองนั้นมักจะอยูในพื้นที่เขตปาสงวนหรือปาคุมครอง สวนที่ดินที่รัฐเปดใหราษฎรจับจองกลับปรากฏวา
               มีเจาหนาที่หรือคนที่มีเงินทุนเขาไปจับจองทีละมาก ๆ กอนที่ราษฎรจะเขาไปจับจอง ดังนั้น ในชวงทศวรรษ 2490

               ชาวนาจึงมีแนวโนมในการแสวงหาที่ดินเพาะปลูกเพิ่มเติมดวยวิธีเชาที่ดินมากขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งในพื้นที่

               เพาะปลูกในภาคกลาง ซึ่งหากพิจารณาจากการสํารวจหมูบานบางชัน ในป พ.ศ. 2492 กับป พ.ศ. 2496
               พบวามีผูเชาบางสวนเพิ่มขึ้นชัดเจนจาก 32.69 เปอรเซ็นตในป พ.ศ. 2492 เปน 40.76 เปอรเซ็นตในป พ.ศ. 2496

                        ตอมาในป พ.ศ. 2494 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการผลักดันนโยบายสงเสริมใหราษฎรมีที่ดิน

               ทํากิน โดยการแตงตั้ง “คณะกรรมการจัดสรรที่ดินและเคหะสถานใหแกราษฎร” ขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม

               พ.ศ. 2494 โดยมีจอมพล ป. พิบูลสงครามเปนประธานกรรมการ ซึ่งจากการพิจารณาของคณะกรรมการ

               ไดวางหลักการเกี่ยวกับที่ดินไว 3 ประการ คือ






                                                                       รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง “เพื่อปรับปรุงแกไข  333
                                                                นโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนดานที่ดินและปาไม”
   349   350   351   352   353   354   355   356   357   358   359