Page 142 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 142

สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
                                                                                               National Human Rights Commission of Thailand


                        และเนื่องจากมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ไดกําหนดใหสิทธิ
               และเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองโดยชัดแจง ยอมไดรับความคุมครองจากองคกรของรัฐ โดยในกรณีนี้สิทธิชุมชน

               ซึ่งไดถูกรับรองไวโดยชัดแจงในมาตรา 66 และมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
               และยังถูกรับรองไวในคําพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองอีกหลายคดีวาสิทธิชุมชนที่รับรอง

               ในรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทยนั้น มีผลบังคับใชโดยทันที จึงถือไดวาสิทธิชุมชนตองไดรับความคุมครอง

               ทั้งในการตรากฎหมาย การใชบังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายของหนวยงานของรัฐตาง ๆ ดวยโดยทันที
               เชนกัน

                        ดังนั้น แมบทบัญญัติของกฎหมายวาดวยการปาไม จะมิไดเอื้ออํานวยตอการใชสิทธิของชุมชน

               อยางเพียงพอและยั่งยืนและทําใหรัฐมีทัศนคติที่ไมถือเปน “หนาที่ตามกฎหมาย” ที่ตองรับรองและคุมครอง
               สิทธิชุมชนอยางเครงครัดและเทาเทียมกับหนาที่ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในฐานะสมบัติของรัฐ

               แตหากพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ก็ถือไดวา

               รัฐธรรมนูญไดกําหนดใหเจาหนาที่รัฐตองถือเปนหนาที่โดยทันทีนับตั้งแตรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย
               พุทธศักราช 2550 มีผลบังคับใชในการรับรองและคุมครองสิทธิชุมชนทั้งในการใชและการตีความกฎหมาย

               และเจาหนาที่รัฐก็มิอาจปฏิเสธหนาที่ในการรับรองและคุมครองสิทธิชุมชนได เพราะหนาที่ดังกลาวนั้นไดถูกกําหนด
               ไวอยางชัดแจงในรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อันเปนกฎหมายสูงสุดของรัฐ

                        ปญหาขอบเขตของสิทธิชุมชน ในหลักกฎหมายทั่วไปนั้น “สิทธิ” คือความชอบธรรมที่บุคคลอาจใช

               ยันกับผูอื่น เพื่อคุมครองหรือรักษาผลประโยชนอันเปนสวนที่พึงไดของบุคคลนั้น หรือกลาวอีกนัยหนึ่งคือ สิทธิคือ
               ประโยชนที่บุคคลมีความชอบธรรมที่จะไดรับ ดังนั้น ในทางกลับกัน การดําเนินการใด ๆ เพื่อใหไดรับประโยชน

               ที่นอกเหนือจากที่ตนควรไดรับตามกฎหมาย ในกรณีนี้กฎหมายก็จะไมรับรองและคุมครองให ดังนั้น สิ่งที่
               “กฎหมายรับรองและคุมครอง” จึงเปน “ขอบเขตของการใชสิทธิ”

                        แตเนื่องจากรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ไมไดกําหนดรายละเอียด

               ของสิทธิชุมชนเอาไววา มีลักษณะหรือขอบเขตของสิทธิชุมชนอยางไร จึงมีปญหาตามมาวาสิทธิชุมชน
               ในการจัดการและใชประโยชนทรัพยากรปาไมมีขอบเขตอยางไร โดยจากการศึกษาพบวา ในเรื่องนี้มีแนวคิด

               ที่เปนหลักการอยู 2 อยาง กลาวคือ แนวคิดการเปรียบเทียบระหวางสิทธิดั้งเดิมของชุมชนทองถิ่นดั้งเดิม

               กับสิทธิมีสวนรวมของบุคคลทั่วไป และแนวคิดสิทธิเชิงซอน (Complexity of Rights)
                        โดยเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบทั้ง 2 แนวคิด จะเห็นวามีความคลายคลึงกัน และอาจกลาวไดวา

               แนวคิดคิดสิทธิเชิงซอนคือการตอบคําถามแนวคิดแรกที่ตองเลือกระหวางสิทธิดั้งเดิมของชุมชนกับสิทธิของ

               บุคคลทั่วไป เพราะหลักการจัดการในการควบคุมและกําหนดการใชประโยชนทรัพยากรธรรมชาติอยางเปนธรรม
               ภายใตแนวคิดสิทธิเชิงซอนนั้น ไมไดละเลยประโยชนสาธารณะที่บุคคลทั่วไปควรไดรับและยังใหรัฐเปนผูดูแล

               ประโยชนสาธารณะใหตกแกบุคคลทั่วไปโดยทั่วถึงอยางที่เคยเปนมาอีกดวย เพียงแตตอกยํ้าใหรัฐตองตระหนักวา





                                                                       รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง “เพื่อปรับปรุงแกไข  121
                                                                นโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนดานที่ดินและปาไม”
   137   138   139   140   141   142   143   144   145   146   147