Page 96 - พระมหากษัตริย์กับงานสิทธิมนุษยชน
P. 96

ในการทำาวิจัยครั้งนั้น พระองค์ทรงเน้นถึงพืชที่เกษตรกรควรจะปลูกว่าต้องเป็นพืชที่ตลาด
               ต้องการ และต้องแสดงให้เห็นว่าพืชที่ปลูกนั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดมีคุณภาพดี
               เพื่อจะใช้เป็นความรู้เบื้องต้นของธุรกิจการเกษตร พระองค์ทรงเน้นว่า การที่เกษตรกรจะทำาการเกษตร

               ได้ผลดีที่สุดนั้น ต้องมีความรู้ในวิชาการเกษตร หลักการตลาดและหลักเศรษฐศาสตร์ด้วย

                      ด้วยเหตุที่การเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประชากรส่วนใหญ่ แต่การเพิ่มอัตราการเจริญ

               เติบโตโดยให้การทำาเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำาให้เกิดปัญหาดินสึกกร่อนและหมดความ
               อุดมสมบูรณ์อย่างน่าเป็นห่วง กล่าวคือ เมื่อการทำาไร่ทำานาแบบที่พัฒนามาจากประเทศตะวันตก
               ซึ่งแตกต่างกับประเทศไทยที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการเกษตรที่เกษตรกรปลูกพืชอย่างเดียว

               คือ ข้าวที่มีคุณภาพสูง และมีรายได้จากการขายข้าวเท่านั้น เมื่อเก็บเกี่ยวไม่ได้ผลดีหรือต้องใช้ปุ๋ยราคาแพง
               เกษตรกรจึงเกิดความขาดแคลน และไม่มั่นคง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยและจึงมี

               พระวิริยะที่จะทรงส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้ดีขึ้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าวก่อน
               ที่จะเน้นการผลิตทางการเกษตรเพื่อการส่งออกเป็นหลัก พระองค์มีพระราชดำารัสเน้นการมีเศรษฐกิจ
               แบบพอมีพอกินไว้ ความว่า


                             “การจะเป็นเสือนั้นไม่สำาคัญ สำาคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน
                      แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง”


                      พระองค์มีพระราชดำาริให้หาหนทางแก้ปัญหาความต้องการของชาวไร่ชาวนาที่สามารถปฏิบัติ
               ได้จริง ทรงยกตัวอย่างข้าวเป็นแบบอย่างของการแก้ปัญหาว่า


              96     พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ กั บ ง า น สิ ท ธิ ม นุ ษ ย ช น
   91   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101