Page 94 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 94

77



                       อย่างไรก็ตาม การด้าเนินการดังกล่าวเกษตรกรยังคงมุ่งเน้นการผลิตเชิงปริมาณด้วยการใช้ปุ๋ยเคมีและ
                       สารเคมีโดยขาดการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการกระตุ้นให้แหล่งน้้าเสื่อมคุณภาพเร็วยิ่งขึ้น

                       โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีถูกชะล้างลงสู่สิ่งแวดล้อม หรือเกษตรกรใช้ปัจจัยการผลิต

                       ดังกล่าวไม่ถูกต้อง และมีผลกระทบต่อเนื่องถึงสัตว์น้้าที่อาจได้รับสารพิษจากภาคเกษตรกรรม (สามารถ
                       ใจเตี้ย, 2560; สามารถ ใจเตี้ย และพัฒนา บุญญประภา, 2562)

                              นอกจากปัญหาด้านคุณภาพน้้าแล้วยังพบว่า บางชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้้าลี้ยังต้องเผชิญกับปัญหา

                       ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งการเกิดอุทกภัยซ้้าซากในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่ชุมชน
                       ตอนกลางและตอนล่าง และภัยแล้งตลอดพื้นที่ลุ่มน้้าที่บางช่วงของแม่น้้าลี้แห้งขอดในฤดูแล้ง

                       ปรากฏการณ์เหล่านี้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในการใช้น้้าของชุมชนที่แต่ละพื้นที่ไม่สามารถใช้

                       ประโยชน์จากแม่น้้าลี้ได้ไม่เท่าเทียมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูแล้งที่เกษตรกรมีความจ้าเป็นต้อง
                       ใช้น้้าปริมาณมากประกอบการเพาะปลูกพืช (สามารถ ใจเตี้ย, 2560; สามารถ ใจเตี้ย และพัฒนา

                       บุญญประภา, 2562)

                              แนวปฏิบัติที่ดี จากปัญหาคุณภาพน้้าและปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับลุ่มน้้าลี้ซึ่ง
                       สามารถพบได้ตลอดเส้นทางของแม่น้้า ส่งผลให้เกิดการสร้างพื้นที่ (จัดเวที) ให้คนทั้งลุ่มน้้ามีส่วนร่วม

                       ในการจัดการปัญหาร่วมกันผ่าน “เวทีการประชุมความร่วมมือ การฟื้นฟู และการจัดการ

                       ทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดล้าพูน” โดยหนึ่งในแผนงานที่ถูกน้ามาใช้เพื่อจัดการปัญหาดังกล่าวเป็นวิธี
                       หรือมาตรการการอนุรักษ์ทางสังคม (Social Measures) นั่นคือ “ประเพณีการแห่ช้างเผือก” ซึ่งเป็น

                       ประเพณีดั้งเดิมที่พบเห็นได้ในเขตพื้นที่ลุ่มน้้าลี้ โดยเริ่มแรกประเพณีการแห่ช้างเผือกถูกจัดขึ้น

                       ประมาณปี พ.ศ. 2520 มีวัตถุประสงค์เพื่อขอฝนและด้าเนินการโดยกลุ่มครูบา (พระสงฆ์) ที่เป็นลูก
                       ศิษย์ของครูบาศรีวิชัย ในอดีตหากปีใดเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แม่น้้า

                       แห้งขอด ชาวบ้านจะจัดพิธีขอฝน (ประเพณีการแห่ช้างเผือก) ขึ้น โดยน้าไม้ไผ่มาสานเป็นรูปช้างขนาด

                       พอประมาณ แล้วหุ้มด้วยผ้าขาวหรือดอกฝ้ายขาว ตกแต่งให้งดงามเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระยา
                       ปัจจัยนาเคนทร์ ช้างคู่บารมีของพระเวสสันดร จากนั้นจึงตั้งไว้บนคานให้คนหาม 4 คน เมื่อการ

                       ตกแต่งรูปจ้าลองช้างแล้วเสร็จจะนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ สวดมนต์เพื่อขอฝน เทศนา

                       ธรรม และถวายทานแก่ช้างเผือก เมื่อเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาชาวบ้านจึงน้าช้างเผือกแห่ไปตามล้าน้้า
                       โดยแห่ตั้งแต่ปลายน้้าไปสู่ต้นน้้าซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าสองสัปดาห์ถึงจะเสร็จสิ้นพิธีการ

                       (ภาพที่ 4.5) ประเพณีการแห่ช้างเผือกนิยมปฏิบัติกันในช่วงเดือนกรกฎาคมหรือเดือน 9 (ของชาว

                       ล้านนา) ของทุกปี ในช่วงก่อนการเข้าพรรษาเพราะเป็นฤดูกาลเพาะปลูกข้าวของชาวนา (สามารถ ใจ
                       เตี้ย, 2560; พัลลภ หารุค้าจา และคณะ, 2561) ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าครูบาหรือพระสงฆ์มี

                       บทบาทส้าคัญอย่างยิ่งต่อการจัดประเพณีการแห่ช้างเผือก ดังนั้น ครูบาจึงถือเป็นกลไกส้าคัญของการ
                       เชื่อมโยงระหว่างโลกสมัยใหม่กับบริบทดั้งเดิมของท้องถิ่นซึ่งเป็นส่วนส้าคัญต่อการอนุรักษ์
   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98   99