Page 26 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 26

17



                                  ในทางวิชาการจึงมีการพยายามอธิบายคําปรารภของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
                  ที่ว่า “โดยที่การยอมรับนับถือเกียรติศักดิ์ประจําตัวและสิทธิเท่าเทียมกันและโอนมิได้ของบรรดาสมาชิกทั้งหลาย
                  แห่งครอบครัวมนุษยชนเป็นหลักการแห่งอิสรภาพ ความยุติธรรมและสันติภาพโลก” นั้น หมายถึง สิทธิมนุษยชน

                  เป็นสิทธิประจําตัวของมนุษย์ทุกคน เพราะทุกคนมีศักดิ์ศรี มีเกียรติศักดิ์ประจําตัว สิทธิมนุษยชนไม่สามารถ
                  โอนให้แก่กันได้ แต่นักปฏิบัติการสิทธิมนุษยชน ให้คําอธิบายว่า สิ่งจําเป็นสําหรับคนทุกคนที่ต้องได้รับในฐานะ
                  ที่เป็นคน ซึ่งทําให้คนคนนั้นมีชีวิต มีความเหมาะสมแก่ความเป็นคน และสามารถมีการพัฒนาตนเองได้ คือ
                  “สิทธิมนุษยชน”
                                  เมื่อนําคําอธิบายทั้ง 2 ประการมาประกอบกันก็สามารถเข้าใจได้ว่า สิทธิมนุษยชน หมายถึง

                  สิ่งจําเป็นสําหรับคนทุกคนที่ต้องได้รับในฐานะที่เป็นคน เพื่อทําให้คนคนนั้นมีชีวิตอยู่รอดได้และมีการพัฒนา
                  สิทธิมนุษยชนจึงมี 2 ระดับ (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ, 2555)
                                  1) ระยะแรก สิทธิที่ติดตัวคนทุกคนมาแต่เกิดไม่สามารถถ่ายโอนให้แก่กันได้ อยู่เหนือ

                  กฎหมายและอํานาจใดๆ ของรัฐทุกรัฐ สิทธิเหล่านี้ ได้แก่ สิทธิในห้ามฆ่าหรือทําร้ายต่อชีวิต ห้ามการค้ามนุษย์
                  ห้ามทรมานอย่างโหดร้าย คนทุกคนมีสิทธิในความมโนธรรมหรือลัทธิทางศาสนา ทางการเมืองมีเสรีภาพในการ
                  แสดงความคิดเห็นและแสดงหรือการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น สิทธิเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายมารองรับ
                  สิทธิเหล่านี้ก็ดํารงอยู่ซึ่งอย่างน้อยอยู่ในมโนธรรมสํานึกถึงบาปบุญคุณโทษที่อยู่ในตัวของแต่ละคน เช่น แม้ไม่มี

                  กฎหมาย กฎหมายบัญญัติว่าการฆ่าคนเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่คนทุกคนมีสํานึกรู้ได้เองว่าการฆ่าคนนั้น
                  เป็นสิ่งต้องห้าม เป็นบาปในทางศาสนา เป็นต้น
                                  2) ระยะสอง สิทธิที่ต้องได้รับการรับรองในรูปของกฎหมายหรือต้องได้รับการคุ้มครองโดย
                  รัฐบาล ได้แก่ การได้รับสัญชาติ การมีงานทําการได้รับความคุ้มครองแรงงาน ความเสมอภาคของหญิงชาย

                  สิทธิของเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และคนพิการ การได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การประกันการว่างงาน การได้รับ
                  บริการทางด้านสาธารณสุข การสามารถแสดงออกทางด้านวัฒนธรรมอย่างอิสระ สามารถได้รับความเพลิดเพลิน
                  จากศิลปะ วัฒนธรรมในกลุ่มของตน เป็นต้น  สิทธิมนุษยชนระดับที่สองนี้ต้องเขียนรับรองไว้ในกฎหมายหรือ
                  รัฐธรรมนูญหรือแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐของแต่ละประเทศเพื่อเป็นหลักประกันว่าคน ทุกคนที่อยู่ในรัฐนั้น

                  จะได้รับความคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ ให้มีความเหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์
                                  สําหรับประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา การเคลื่อนไหวปกปูอง คุ้มครองและ
                  เผยแพร่แนวคิดสิทธิมนุษยชนค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้น จนกระทั่งในปี พ.ศ.2540 จึงเกิดรัฐธรรมนูญที่ประชาชน

                  มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและยังมีบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างเด่นชัด รวมถึงการก่อให้เกิดคณะ
                  กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ขึ้นด้วย
                                  พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542 ให้นิยามคําว่า สิทธิมนุษยชน
                  ไว้ว่า “สิทธิมนุษยชน หมายความว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้
                  รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือตามกฎหมายไทย หรือตามสนธิสัญญา

                  ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม”  (พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.
                  2542 มาตรา 3)
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31