Page 111 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 111

102




                  สถานการณ์ในปัจจุบัน  ประกอบกับได้มีการเปลี่ยนแปลงตําแหน่งของเจ้าหน้าที่ตามโครงสร้างการแบ่งส่วน
                  ราชการของกรม การขนส่งทางบก จึงสมควรแก้ไขปรับปรุงระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการอบรมและ

                  ทดสอบผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ.2549 เสียใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
                                           อาศัยอํานาจตามความในข้อ  10  แห่งกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์  วิธีการ
                  และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถและการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต
                  ขับรถ  พ.ศ.2548  และข้อ  12  แห่งกฎกระทรวงกําหนดเครื่องแต่งกาย  เครื่องหมาย  ประวัติคนขับรถ  บัตร
                  ประจําตัวคนขับรถและการแสดงบัตรประจําตัวคนขับรถยนต์สาธารณะ  รถยนต์บริการธุรกิจ  รถยนต์บริการ

                  ทัศนาจรและรถจักรยานยนต์สาธารณะ พ.ศ.2548 กรมการขนส่งทางบกจึงวางระเบียบไว้…”
                                           ในกรณีของการขอมีใบอนุญาตขับรถของบุคคลผู้มีอาการตาบอดสีนี้ ผู้ช่วย
                  ศาสตราจารย์นายแพทย์ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ได้แสดง

                  ความคิดเห็นไว้ว่า “กรณีสํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน หารือกรณีประชาชนที่มีภาวะตาบอดสีร้องเรียนในเรื่อง
                  ความไม่เหมาะสมของระเบียบกรมการขนส่งทางบก ที่ไม่ออกใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ให้แก่บุคคลผู้ที่มีอาการตา
                  บอดสี ทั้งนี้มีความเห็นว่า แม้บุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีจะมองสีผิดไปจากคนปกติก็จริงแต่ยังมีความสามารถ
                  ในการแยกสีไฟจราจรได้โดยไม่มีปัญหา แม้จะไม่ชัดมาก แต่ไฟจราจรก็มีช่องว่างและลําดับชัดเจน คือแดง

                  เหลือง เขียว และมีความสว่างของไฟที่เหมาะสม ดังนั้นจึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยทาง
                  ถนน ซึ่งในประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ก็อนุญาตให้บุคคลที่มีภาวะดังกล่าวสามารถขับขี่รถยนต์ได้เช่นกัน
                  ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ฯ เสนอให้กรมขนส่งทางบกตรวจวินิจฉัยผู้มีภาวะตาบอดสีได้ แต่ให้ใช้หลักการดูไฟ
                  เขียว เหลือง แดงเหมือนไฟจราจร ซึ่งทราบว่าผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอข้อคิดเห็นไปยังกรมการขนส่งทางบก

                  เพื่อให้พิจารณาปรับปรุงเกณฑ์และวิธีการทดสอบผู้ตาบอดสีแล้ว และจากประสบการณ์ ผู้ที่มีภาวะตาบอดสี
                  ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ตัวว่าปุวย และสามารถขับรถได้ปกติ จนมาถึงช่วงที่ต้องตรวจคัดกรองเพื่อขอใบขับขี่จึงทราบ
                  ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ยุติธรรมกับผู้ที่มีภาวะดังกล่าว และกล่าวถึงสถานการณ์ของผู้ตาบอดสีในประเทศไทยว่า
                  พบเพียงร้อยละ 7  ของประชากรทั้งหมด ส่วนใหญ่สามารถขับขี่รถได้โดยอาศัยสัญชาตญาณการพึ่งพาตนเอง

                  ในการแยกลําดับซึ่งเรียนรู้จากคนรอบข้าง แต่หากจะตรวจวัด ก็ควรวัดแค่ศักยภาพในการมองสีสัญญาณไฟ
                  จราจรคู่กับการเรียนรู้กฎจราจรด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่ควรวัดละเอียดแบบการตรวจสายตาทั่วไป”
                  (จักษุแพทย์จี้กรมขนส่งทางบกอนุมัติใบขับขี่ให้กลุ่มตาบอดสี, 2554)

                                           ด้านนายแพทย์ฐาปนวงศ์  ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
                  กล่าวว่า ในทางการแพทย์ตาบอดสีไม่สามารถรักษาหายขาดได้ จากการทบทวนงานการศึกษาของสหรัฐ พบว่า
                  ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีส่วนใหญ่เป็นเพศชายพบได้ร้อยละ 8 ส่วนหญิง ร้อยละ 0.5 สําหรับสาเหตุของตาบอดสีนั้น
                  มีหลายอย่าง บางรายเกิดจากพันธุกรรม เนื่องจากเซลล์ประสาทชนิดหนึ่งในม่านตาซึ่งมีความไวต่อสีต่างๆ
                  มีความบกพร่องหรือพิการ ทําให้ไม่สามารถมองเห็นบางสีได้ ตาบอดสีมีหลายชนิด ชนิดที่ทุกคนรู้จักโดยทั่วไป

                  ได้แก่ ตาบอดสีที่มองสีเขียวกับสีแดงไม่เห็น (Red-green blindness) ซึ่งทําให้ไม่สามารถแยกสีแดงกับสีเขียว
                  จากสีอื่นๆ ได้ ดังนั้นบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีชนิดนี้จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกเป็นสีน้ําเงิน สีเหลือง สีขาว
                  สีดํา สีเทา และส่วนผสมของสีเหล่านั้นทั้งหมด บางรายแยกสีแดงและสีเขียวค่อนข้างลําบาก โดยเฉพาะเวลาที่
   106   107   108   109   110   111   112   113   114   115   116