Page 96 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 96
๘๗
รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”
๔.๔.๒ การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยขณะอยู่ในประเทศไทย
เมื่อผู้ลี้ภัยเดินทางเข้ามาในประเทศไทย หน่วยงานภาคประชาสังคมสามารถแจ้งให้ผู้ลี้ภัยทราบถึง
สิทธิขั้นพื้นฐานของตน วิธีขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเนื่องจากหน่วยงานภาค
ประชาสังคมมักท างานใกล้ชิดกับผู้ลี้ภัย จึงมีความเข้าใจในปัญหาอย่างดี จึงสามารถเสนอแนวทางการ
แก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม น าไปสู่การแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างยั่งยืน
๔.๔.๓ ร่วมในการวางแผนบริหารจัดการผู้ลี้ภัยในระยะยาวโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน
หน่วยงานภาคประชาสังคมสามารถรถร่วมกับภาครัฐในการวางแผนการบริหารจัดการผู้ลี้ภัย โดย
เสนอวิธีการที่ท าให้ผู้ลี้ภัยสามารถช่วยเหลือตนเองได้เพื่อแบ่งเบาภาระในการดูแลผู้ลี้ภัยของรัฐ
นอกจากนี้หน่วยงานภาคประชาสังคมยังสามารถประสานงานให้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญได้พบและ
แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้มีหน้าที่ในการจัดท านโยบาย นอกจากนี้ การเข้ามามีส่วนร่วมของภาค
ประชาสังคมในการตรวจสอบการท างานของภาครัฐ ยังท าให้กระบวนการท างานของรัฐบาลมีความ
น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
หน่วยงานภาคประชาสังคมสามารถเป็นสื่อกลางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยที่ถูกต้อง
ให้กับคนในประเทศได้ทราบและเข้าใจถึงสาเหตุความจ าเป็นที่ท าให้ผู้ลี้ภัยต้องอพยพเข้ามาในประเทศ
แนวทางที่การให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัย หน่วยงานภาคประชาสังคม โดยใช้ช่องทางซึ่งหน่วยงานภาค
ประชาสังคมแต่ละแห่งมีศักยภาพ เช่น การจัดท าสิ่งพิมพ์ การเผยแพร่ความรู้ทางเว็บไซต์ การจัดการ
อบรม
๔.๔.๔ สนับสนุนให้ภาครัฐปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
ในด้านการใช้กลไกขององค์การสหประชาชาติในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ภาคประชาสังคมมี
บทบาทในการร่วมมือคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เช่น การจัดท ารายงานประเทศของภาคประชาสังคมในการ
เสนอรายงานสิทธิมนุษยชนในกระบวนการ UPR และมีศักยภาพในการน าเสนองานวิจัย ผลงานทาง
วิชาการที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการแก้ไขปัญหาให้กับ
ผู้ลี้ภัยได้